ผู้เขียน หัวข้อ: เซลล์เม็ดเลือดขาว cd4 กับแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบันในการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์  (อ่าน 1075 ครั้ง)

JohnMcLean34

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 388
    • ดูรายละเอียด
ถึงแม้ว่าว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายเหตุที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของสุภาพสตรีจะขึ้นและลงในช่วงที่มีระดู ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells เบาบางลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายผ่อนคลาย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นอาทิ

ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์หลักที่นายแพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในขั้นต้น

ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ทันสมัยก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บป่วยต่างๆ สามารถทำได้อย่างทันทีทันใด และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิกลพิการของผู้ป่วยได้เยอะแยะ

ต่อนี้ไปเรามาดูกันว่านายแพทย์มีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนไข้ โดยพินิจพิเคราะห์จากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 อย่างไร

ในยุคปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์จำนวนมาก ออกฤทธิ์หยุดยั้งการแพร่พันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์น้อยลงได้ และช่วยดูแลไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell

เพราะฉะนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นมาตรฐานการรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบหมอเพื่อขอบริโภคยาต้านไวรัสได้เลย อย่างไรก็ดีถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งรับประทานยาต้าน ให้เยียวยารักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
 ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
 (ARV) ย่อมาจาก antiretroviral

เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวบังคับการระบบภูมิต้านทานทั้งสิ้น พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมกันๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ในบั้นปลาย การสำรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิต้านทานของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือไม่ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง

ค่าโดยทั่วไปแล้วเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางคนสูง บางคนต่ำ ค่าประจำของ % Lymp อยู่ในช่วงประมาณ 19-48% โดยเหตุนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา

โดยระดับธรรมดาของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 – 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของสตรีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีความโอนเอียงที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 500 – 1600.

ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนมากใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบอุปสรรคของการใช้ยาบางประการ ได้แก่ ปัญหาจากผลข้างเคียงของยา ตัวปัญหากา

ปกติร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นเต้นตกใจเลยใช่มั้ยครับ

ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวถดถอยอย่างไวในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถเยียวยารักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงเดิมได้ มีแนวโน้มที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติครับ เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นเสนอว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำลายแล้ว

การเสื่อมอย่างมากของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นเครื่องแสดงของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้เจ็บป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การดูแลร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างบ่อย ด้วยเหตุว่าระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการรักษาพยาบาล หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่คนไข้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางพวก เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลคุ้มกันโรคปอดอักเสบ ฯลฯ cd4




ยุคปัจจุบันเราใช้ผลรวมเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค เช่น ผู้ที่มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์ผลรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน

แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอเล่าง่ายๆ ขอรับว่า cd4 บางทีถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปเล่นงานทำลาย

 

Sitemap 1 2 3