ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไมเกรน - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 245 ครั้ง)

ttads2522

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2255
    • ดูรายละเอียด

โรคไมเกรน (Migraine)
โรคไมเกรนเป็นยังไง โรคไมเกรนมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ ดังเช่น โรคปวดศีรษะไมเกรน , โรคปวดศีรษะด้านเดียว , โรคลมตะกัง เป็นต้น  โรคไมเกรนเป็นโรคที่ทำให้เกิดลักษณะของการปวดหัวเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะบุคคลที่สำคัญเป็น อาการปวดหัวนั้นชอบปวดฝ่ายเดียว หรือเริ่มปวดฝ่ายเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง รวมทั้งแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้  แม้กระนั้นบางครั้งอาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งแต่ตอนแรก  ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆเป็นระยะๆแต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่ปวดแบบตื้อๆส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมากมาย  โดยจะค่อยๆปวดเยอะขึ้นที่ละน้อยตราบจนกระทั่งปวดรุนแรงสุดกำลังแล้วจึงเบาๆทุเลาอาการปวดลงจนถึงหาย  เวลาที่ปวดศีรษะก็มักจะมีลักษณะอาการอาเจียนหรืออ้วกร่วมด้วย   ช่วงเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่จำนวนมากจะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที  เช่น สายตาเลือน หรือ มองเห็นแสงกระพริบๆลักษณะของการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายบางทีอาจจะปวดมากยิ่งขึ้นลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนไปนอนจนกระทั่งตื่นเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
            ลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรนแตกต่างจากลักษณะของการปวดศีรษะปกติตรงที่ว่า ลักษณะของการปวดหัวธรรมดาชอบปวดทั่วอีกทั้งหัว ส่วนมากเป็นอาการปวดตื้อๆที่ไม่ร้ายแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เป็นต้นว่า คลื่นไส้ร่วมด้วย  ส่วนมากจะหายได้เองเมื่อได้นอนสนิทไปพักใหญ่ ผู้ป่วยโรคนี้โดยมากเป็นผู้หญิง โดยเฉลี่ยพบว่า สตรีโดยประมาณ 15% จะเป็นโรคนี้ ใน เวลาที่เพศชายเจอเป็นโรคนี้เพียงประมาณ 6% โดยมีอัตราการเป็นโรคไมเกรนสูงสุดในสตรีและในเพศชายอยู่ที่ช่วงอายุ 30 -40 ปี ดังนี้แทบจะไม่พบผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว
นอกจากนั้นคนไข้โรคปวดศีรษะไมเกรน มักมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย แต่ว่าตอนนี้โรคนี้มียาซึ่งสามารถรักษาทุเลาอาการ รวมทั้งยาที่คุ้มครองป้องกันอาการแย่ลงของโรค มีการทำนองว่าใน 24 ชั่วโมง ทั้งโลกจะมีผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนประมาณ 3,000 คนต่อพลเมือง 1 ล้านคน โดยเจออัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาคือคนอเมริกากึ่งกลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย รวมทั้งแอฟริกา                                                                             
ต้นเหตุของโรคไมเกรน มูลเหตุที่แท้จริงของไมเกรนยังไม่รู้จักกระจ่าง แต่มีการสันนิษฐานว่ามีความข้องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวสำหรับเพื่อการดำเนินการของระบบประสาทและก็เส้นโลหิตในสมองเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า ซีโรโทนิน หรือ serotonin (ซึ่งพบว่ามีจำนวนลดลงช่วงเวลาที่มีลักษณะอาการกำเริบ) แล้วก็สารเคมีในสมองกลุ่มอื่นๆเป็นต้นว่า โดปามีน  ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ ๕ ที่ เลี้ยงใบหน้าและศีรษะ และทำให้หลอดเลือดแดงอีกทั้งในรวมทั้งนอกกะโหลกศีรษะมีการอักเสบ และมีการหดแล้วก็ขยายตัวแตกต่างจากปกติ เส้นโลหิตในหัวกะโหลกจะมีการหดตัวทำให้เปลือกสมองมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ส่วนหลอดเลือดนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัว ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดอาการแสดงต่างๆของโรคไมเกรน
ตอนนี้พบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าประมาณปริมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ที่เป็นไมเกรน   มีประวัติว่าพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ส่วนต้นสายปลายเหตุกำเริบของไมเกรนนั้น คนป่วยมักบอกได้ว่า แต่ละครั้งที่มีลักษณะปวดหัวจะมีแรงกระตุ้นหรือเหตุกำเริบเสิบสานชัดเจน ซึ่งแต่ละคนอาจมีเหตุกำเริบที่แตกต่างกันไป แล้วก็มักจะมีได้หลายๆอย่างข้างในการกำเริบครั้งเดียวเหตุกำเริบเสิบสานที่พบบ่อยๆเช่น

  • มีแสงสว่างแรงเข้าตา ดังเช่นว่า ออกกลางแจ้งแรงๆแสงจ้า แสงกะพริบ แสงสีระยิบระยับในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์
  • การใช้สายตาเพ่งอะไรนานๆอาทิเช่น หนังสือ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บผ้า
  • การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ ยกตัวอย่างเช่น ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก
  • การสูดดมกลิ่นฉุนๆอาทิเช่น กลิ่นสี กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสารเคมี ควันของบุหรี่
  • การดื่มกาแฟมากมายๆก็บางทีอาจกระตุ้นให้ปวดได้
  • ยานอนหลับ สุรา เบียร์ ไวน์ ถั่วต่างๆกล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล ของกินทอดน้ำมัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม ยากันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
  • การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น อากาศร้อน หรือหนาวจัด
  • การอดนอน (นอนไม่พอ) หรือนอนมากเหลือเกิน การนอนตื่นสาย
  • การละข้าว รับประทานข้าวผิดเวลา หรือกินอิ่มจัด เชื่อว่าเกี่ยวกับสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ บางครั้งพบว่า คนป่วยไมเกรนเมื่อเป็นโรคโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) ลักษณะของการปวดจะหายไป
  • การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเครื่องบิน
  • การป่วย เช่น ตัวร้อนจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
  • การออกกำลังกายจนกระทั่งอ่อนเพลียเหลือเกิน
  • ร่างกายเมื่อยล้า
  • การเช็ดกกระแทกแรงๆที่ศีรษะ (ตัวอย่างเช่น การใช้หัวโหม่งฟุตบอลหรือตะกร้อ) ก็อาจจะส่งผลให้ปวดหัวทันที
  • อิทธิพลของฮอร์โมนเพศสำหรับคนเจ็บหญิง ส่งผลต่อการเกิดอาการไมเกรนเป็นอย่างมาก อย่างเช่น บางรายมีอาการปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือมีระดู แล้วก็มีไม่น้อยที่หายปวดไมเกรนขณะตั้งท้อง ๙ เดือน (มีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนสูง) บางรายรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโตรเจน) ทำให้ปวดบ่อยขึ้น เพียงพอหยุดกินยาก็ดียิ่งขึ้น
  • ความตึงเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์หม่นหมอง ตื่นเต้น สะดุ้ง
ซึ่งในอดีตมีการค้นพบทฤษฏีที่เกี่ยวกับการเกิดลักษณะของไมเกรนคือ

  • แนวความคิดเกี่ยวกับหลอดเลือด (Vascular theory) แนวคิดนี้ถูกคิดขึ้นมาในช่วงปี พุทธศักราช 2483 โดย Wolff (แพทย์ชาวอเมริกัน) ซึ่งอธิบายว่า อาการนำก่อนปวดศีรษะจำพวกออรา (มีลักษณะนำ) เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเส้นเลือดในสมองมีการหดตัว แล้วก็เมื่อเส้นเลือดที่หดตัวขยายตัวออก จะมีผลให้มีลักษณะปวดศีรษะตามมา โดยหลักฐานส่งเสริมเป็น เจอเส้นโลหิตนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัวและเต้นตุ้บๆรวมทั้งการให้ยาช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ลักษณะของการปวดหัวดีขึ้น ส่วนการให้ยาที่ขยายเส้นเลือด ทำให้อาการปวดหัวร้ายแรงขึ้น


แม้กระนั้น ทฤษฎีนี้ไม่อาจจะชี้แจงอาการนำก่อนปวดหัวประเภทไม่มีออรา (ไม่มีอาการนำ) แล้วก็อาการร่วมที่เกิดระหว่างไมเกรนว่าเกิดได้อย่างไร นอกนั้น ยาบางตัวซึ่งไม่มีผลสำหรับในการหดตัวของหลอดเลือด แต่ก็สามารถบรรเทาลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรนได้ รวมถึงการตรวจภาพหลอดเลือดสมองก่อนเกิดอาการแล้วก็ระหว่างเกิดอาการ ก็ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้ ด้วยเหตุนี้เดี๋ยวนี้แนวคิดนี้ก็เลยไม่ค่อยเป็นที่ยอบรับ

  • แนวความคิดเกี่ยวกับเซลล์ประสาท เส้นโลหิต แล้วก็สารสื่อประสาทด้วยกัน (Neurovascu lar theory) Leao (แพทย์ชาวบราซิล) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ในปี พ.ศ. 2487 ซึ่งชี้แจงว่า เซลล์ประ สาทในสมองบางตัวมีการตื่นตัว และก็ปลดปล่อยสารสื่อประสาท (สารเคมีที่มีหน้าที่ส่งต่อสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท) กระตุ้นเซลล์ประสาทใกล้เคียงให้ตื่นตัว และส่งต่อสัญญาณไปเรื่อยๆการที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้นนี้ นำมาชี้แจงการเกิดอาการนำก่อนจะมีการปวดหัวของคนไข้ได้ ส่วนอาการปวดหัวของผู้เจ็บป่วยชี้แจงได้จาก เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นไปเรื่อยจนถึงไปกระ ตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทเฉพาะ เรียกว่า Trigerminal nucleus ซึ่งจะปลดปล่อยสารเคมีหลายอย่างที่ส่งผลนำไปสู่ลักษณะของการปวดไปสู่หลอดเลือด เว้นเสียแต่สารเคมีกลุ่มนี้ก่อให้เกิดอาการปวดแล้ว ยังส่งผลทำให้ หลอดเลือดขยายตัวอีกด้วย จากแนวคิดกลุ่มนี้ มีผู้ค้นพบเพิ่มเติมอีกต่อไปอีกเพียบเลยในตอนนี้


อาการโรคไมเกรน เมื่อกำเนิดลักษณะของการปวดหัวฝ่ายเดียว หลายๆท่านรู้เรื่องว่าเป็นโรคปวดไมเกรน เพราะเหตุว่าพวกเราเคยเรียกโรคปวดไมเกรนกันว่า โรคปวดหัวข้างเดียว ก็เลยทำให้เข้าใจผิดคิดว่าหากมีลักษณะอาการปวดศีรษะฝ่ายเดียวหมายความว่าเป็นไมเกรน   แท้จริงอาการปวดไมเกรนนั้นไม่จำเป็นต้องปวดหัวเพียงแต่ด้านเดียว บางทีอาจปวดสองข้างก็ได้ ในทางตรงกันข้าม อาการปวดหัวฝ่ายเดียวบางทีอาจไม่ใช่ไมเกรนก็ได้   โดยลักษณะของโรคไมเกรนได้ผลจากการขยายและหดของหลอดเลือดที่กะโหลกศีรษะ โดยมักมีลักษณะนำ (aura) ก่อนลักษณะของการปวด แม้กระนั้นปัจจุบันนี้พบว่าอาจไม่มีอาการนำก็ได้  ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะของโรคไมเกรนเป็น 4 ขั้น ได้แก่ ระยะอาการนำ (Premonitory Symptom และ Singn) ระยะอาการเตือน (Aura phase) ระยะปวดศีรษะ (Headache) แล้วก็ระยะหายปวด    (Postdrome) ซึ่งคนไข้บางทีอาจไม่ออกอาการในทุกขั้นก็ได้

อาการและอาการแสดงของ ไมเกรน แบ่งได้ระยะต่างๆดังนี้

  • ระยะอาการนำ (Premonitory symptom และก็ singn) มีอาการรวมทั้งอาการแสดงทางสมอง ซึ่งแสดงออกในรูปของความผิดปกติของลักษณะการทำงานของสมองแบบธรรมดา ความแปลกของระบบทางเดินอาหาร สมดุลย์ของน้ำภายในร่างกาย และอาการทางกล้ามเนื้อ ซึ่งปรากฎการณ์นี้ พบราว 40% ของคนไข้ไมเกรน อาการเหล่านี้มักนำมาก่อนราวๆ 3 ชั่วโมงก่อนเกิดอาการปวดศีรษะและอาจกำเนิดเร็วใน 1 ชั่วโมง หรือเกิดก่อนนานถึง 2 วัน อาการกลุ่มนี้มีอาการแสดงทางจิต อาการทางระบบประสาทรวมทั้งความเคลื่อนไหวในระบบอื่นๆของร่างกาย เป็นต้นว่า สมาชิเสีย อารมณ์อารมณ์เสีย เก็บตัว ทำอะไรคล่องแคล่ว ทำอะไรซ้ำๆซากๆ คิดช้าทำช้า หรือทำอะไรงุ่มสวย ครั้งคราวอารมณ์ร้าย ผู้ป่วยอาจมีหาวบ่อยครั้ง อยากนอนมากทนต่อแสงสว่างเสียงไม่ค่อยได้ ผิวหนังบางทีอาจไวต่อความรู้สึกทนต่อการสัมผัสมิได้ นอนมาก อ่อนแรงง่าย กล่าวไม่ชัด คิดคำพูดไม่ออก พูดน้องลง กล้ามคอบางทีอาจตึง มีลักษณะอ่อนแรงทั่วๆไป รู้สึกหนาวจะต้องคลุมผ้าที่มีไว้สำหรับห่ม หน้าซีด ขอบตาคล้ำ หนังตาหนักๆหรือตาลึก อาการทางเดินอาหารก็มีได้อีกทั้งอยากของกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่มีรสหวาน ไม่อยากกินอาหาร ถ่ายอุจจาระหลายครั้ง ท้องผูก ท้องอืด เจ็บท้อง อาการอื่นๆตัวอย่างเช่น ปัสสาวะหลายครั้ง อยากกินน้ำ บวมจึงทำให้มั่นใจว่าไมเกรน น่าจะเป็นปรากฎการณ์ของการเปลื่ยนแปลงทางวิชาชีวเคมีในเซลล์ประสาทรวมทั้งความเคลื่อนไหวทางเส้นโลหิตในระยะปวดหัวเป็นปรากฎการณ์ที่ตามมาคราวหลัง
  • ระยะอาการเตือน (Aura phase) เป็นอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่ซึ่งกำเนิดก่อนอาการปวดศีรษะประมาณ 30 นาที รวมทั้งส่วนใหญ่จะมีลักษณะอยู่นาน 20-30 นาที โดยธรรมดาจะหายเมื่อเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาแล้ว ซึ่งอาการที่พบได้ทั่วไปเป็น อาการเปลี่ยนไปจากปกติทางทางมองเห็น ยกตัวอย่างเช่น การเห็นแสงสี มองเห็นแสงสว่างระยิบระยับ เห็นแสงสว่างดาวกระพริบ แล้วก็อาจมีอาการชารอบๆนิ้วมือ แขนและบริเวณใบหน้า และก็บางทีอาจพบสภาวะพูดลำบากร่วมด้วย
  • ระยะปวดหัว (Headache) ชอบเริ่มเป็นช้าๆในเวลา 30-60 นาที ก่อนจะปวดศีรษะมากสุด แม้กระนั้นบางรายบางทีอาจสังเกตว่าปวดศีรษะหลังตื่นนอน ซึ่งทำให้ไม่เคยทราบว่าตามที่เป็นจริงอาการปวดหัวเริ่มเป็นเมื่อใดและรวดเร็วแค่ไหน บางรายความรุนแรงของลักษณะของการปวดศีรษะก็ดำเนินไปอย่างช้าๆใช้เวลาครึ่งวันหรือทั้งวัน และก็ชอบเบาๆหายไป แต่ในเด็กอาการพวกนี้จะหายอย่างรวดเร็ว วันหลังอ้วก ลักษณะปวดศีรษะนี้มีไม่ถึง 50% ที่ปวดแบบตุ๊บๆที่เหลือมักปวดตื้อๆหรือปวดเสมือนมีอะไรมารัด ลักษณะปวดที่สำคัญในไมเกรนหมายถึงลักษณะของการปวดในตำแหน่งต่างๆจะย้ายที่ได้และย้ายข้างได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นสำหรับการเป็นแต่ละครั้งหรือสำหรับเพื่อการปวดครั้งเดียวกัน รวมทั้งลักษณะของการปวดเหล่านี้จะเป็นมากเมื่อมีการขยับเขยื้อนหัว อาการร่วมขณะปวดศีรษะมักเป็นอาการทางระบบประสาทแล้วก็อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งในบางรายอาการกลุ่มนี้จะกำเนิดในระยะอาการนำซึ่งในแต่ละคนอาการจะต่างกันและก็อาการในคนๆเดียวกันการปวดศีรษะแต่ละครั้งก็อาจแตกต่างกันได้ด้วย อาการกลุ่มนี้อาทิเช่น เบื่ออาหาร อ้วก อ้วก ท้องผูก ท้องร่วง รู้สึกเย็นปลายมือ ปลายเท้า กลัวแสงสว่างกลัวเสียง เกลียดให้คนไหนมาสัมผัสตัว ไม่สามารถทนต่อการเขย่ากระเทือน บางบุคคลไวต่อกลิ่น รำคาญ ปวดต้นคอ อ่อนล้า คัดจมูก เดินโซเซ หรือคล้ายจะเป็นลมเป็นแล้ง อาการปวดศีรษะจะหายไปคราวหลังได้นอน 45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หรือตอนหลังดื่มเครื่องดื่มร้อนๆหรือ คราวหลังอาเจียนหรือได้ยาแก้ปวด
  • ระยะหายปวด (Postdromes) อาการที่สำคัญ คือ อ่อนล้า ซึ่งบางรายจะมีลักษณะอาการอ่อนกำลังของกล้ามรวมทั้งปวดกล้ามเนื้อ มีลักษณะอาการเคลิ้ม หรือมีอารมณ์ไม่แจ่มใส ขาดสมาธิ อารมณ์เสีย หาวมากมายเปลี่ยนไปจากปกติทานอาหารได้น้อย ปัสสาวะมากมายหรือกระหายน้ำ อาการพวกนี้จะเป็นอยู่นาน 1 ชั่วโมง ถึง 4 วัน โดยเฉลี่ยราว 2 วัน


นอกเหนือจากโรคไมเกรนแล้ว โรคปวดศีรษะยังมีอีกหลายหมวดหมู่ ยกตัวอย่างเช่น โรคปวดหัวที่เกิดจากความเคร่งเครียด (tension headache) โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (cluster headache) รวมทั้ง โรคปวดหัวเนื่องมาจากมีแรงกดดันในสมองสูง(increase intracranial pressure) ฯลฯ ซึ่งโรคพวกนี้ทำให้เกิดการปวดศีรษะเพียงด้านเดียวได้
ซึ่งโรคปวดหัวที่อาจจะเป็นผลให้เข้าใจผิดรู้สึกว่าเป็นไมเกรน คือ โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นมาจากความเครียด ซึ่งเป็นภาวการณ์ที่พบบ่อยโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีความไม่สาบายใจและก็เครียดตลอดเวลา จะต้องดำเนินการกับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันวันละหลายๆชั่วโมง ทำให้กล้ามบริเวณบ่าและแขนมีการเกร็งตึง นำมาซึ่งอาการปวดตึงรอบๆกำดัน ร้าวขึ้นไปที่ขมับข้างที่มีการตึงของกล้ามเนื้อ หรือกำเนิดอาการปวดรอบหัวเหมือนถูกรัด ซึ่งหากมีลักษณะอาการไม่มากมาย เมื่อพัก นวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งรวมทั้งตึง อาการจะหายไปเอง แต่ในรายที่มีลักษณะหนักบางทีอาจปวดสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดจะไม่เกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อ้วก ตามัว หรือมองเห็นแสงสี
โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์ก็มีลักษณะอาการปวดหัวฝ่ายเดียวได้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าจะปวดร้ายแรง ปวดบ่อยครั้ง มักปวดรอบตาแล้วก็ขมับ มีตาแดง น้ำตาไหล และก็คัดจมูกในด้านเดียวกัน จะไม่มีคลื่นใส้คลื่นไส้ ส่วนโรคปวดศีรษะที่เกิดเพราะเหตุว่ามีแรงดันในสมองสูงนั้น มีสาเหตุจากมีเรื่องผิดปกติในสมอง อย่างเช่น มีเนื้องงงวยอกในสมอง เลือดออกในสมอง น้ำคั่งในสมอง เป็นต้น ซึ่งต้องปรับแก้ที่ปัจจัย
ดังนั้นก่อนจะสรุปว่าเป็นโรคปวดหัวไมเกรน ควรไปพบหมอเพื่อวิเคราะห์ให้แจ่มกระจ่างก่อน ไม่สมควรคิดเอาเองว่ามีอาการปวดหัวข้างเดียว แสดงว่าเป็นโรคปวดหัวไมเกรนแน่นอนแล้วไปหาซื้อยาแก้ไมเกรนมารับประทาน เพราะเหตุว่า การรับประทานยาไมเกรนไม่ถูกต้องมีอันตรายอย่างยิ่ง
กระบวนการรักษาโรคไมเกรน ขั้นตอนการวินิจฉัยไมเกรนใช้หลักเกณฑ์ของ International Headche Society (IHS) ซึ่งจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม เช่น
ซึ่งเดี๋ยวนี้หมอชอบวินิจฉัยจากอาการบอกของคนไข้ ดังเช่นว่า อาการปวดตุบๆที่ขมับ และก็คลำได้เส้น (เส้นโลหิต) ที่ขมับ เป็นๆหายๆเป็นครั้งเป็นคราว และก็มีเหตุกำเริบเสิบสานแจ่มกระจ่าง โดยที่ตรวจร่างกายด้านอื่นๆ ให้รอบคอบแล้วไม่พบเรื่องผิดปกติที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดลักษณะของการปวดหัว
โดยเหตุนี้  การที่จะทราบดีว่าลักษณะของการปวดศีรษะนั้นเกิดขึ้นจากโรคไมเกรนหมอจำต้องทำการวิเคราะห์จากลักษณะจำเพาะของลักษณะของการปวดหัว  อาการที่เกิดร่วมด้วย รวมถึงผลการตรวจร่างกายระบบต่างๆและลักษณะการทำงานของสมองที่เป็นปกติ  แต่ว่าอย่างไรก็ตาม โรคไมเกรนบางจำพวกก็อาจส่งผลให้สมองดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติไปชั่วครั้งชั่วคราวในระหว่างที่เกิดอาการปวดขึ้นได้ แพทย์จำเป็นที่จะต้องกระทำการวิเคราะห์แยกโรคให้ได้ โดยมีหลักสำหรับการวิเคราะห์ จากลักษณะเฉพาะคือ

  • ลักษณะต่างๆของอาการปวด : ตำแหน่ง ความรุนแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
  • อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น อ้วก วิงเวียน
  • ความผิดปกติของการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่างๆที่อาจทำให้เกิดอาการปวด อย่างเช่น ความคิดอ่านชักช้า เห็นภาพซ้อน แขนขาเมื่อยล้า เหตุกระตุ้นลักษณะของการปวด ได้แก่ ความเคร่งเครียด แสงจ้าๆอาหารบางประเภท
  • ปัจจัยดีขึ้นอาการปวด อาทิเช่น การนอน การนวดหนังหัว ยา


ในบางรายหมออาจเสนอแนะการตรวจอื่นๆเพื่อจำกัดวงของมูลเหตุที่ทำให้มีการเกิดลักษณะของการปวด โดยยิ่งไปกว่านั้นกับคนป่วยที่มีลักษณะมากไม่ดีเหมือนปกติ อาการซับซ้อน หรือมีลักษณะอาการที่รุนแรงกะทันหัน ตัวอย่างเช่น

  • การพิสูจน์เลือด แพทย์อาจให้มีการตรวจเลือดเพราะอาจมีการติดเชื้อที่เส้นประสาทไขสันหลัง หรือสมอง และก็กำเนิดพิษในระบบร่างกายของคนไข้
  • การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) หมอจะให้มีการตรวจแนวทางลักษณะนี้หากสงสัยว่าคนเจ็บมีการติดเชื้อโรค มีเลือดออกในสมอง
  • การใช้งานเครื่อง CT scan (Computerized Tomography) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา เป็นการใส่ความไม่ปกติต่างๆภายในร่างกาย โดยทำให้เห็นภาพของสมอง ให้หมอสามารถวินิจฉัยความเปลี่ยนไปจากปกติต่างๆได้มากขึ้น
  • การใช้งานเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นครื่องตรวจร่างกายโดยการผลิตภาพเสมือนจริงของอวัยวะส่วนต่างๆภายในร่างกาย โดยอาศัยหลักการของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้หมอสามารถวินิจฉัยเนื้องอก การอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง ดูอาการการเลือดออกในสมอง การตำหนิดเชื้อ และภาวะอื่นๆในสมองรวมทั้งระบบประสาท


การดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน    กระบวนการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญดังเช่นว่า การบรรเทาอาการปวดหัว   รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความร้ายแรงของลักษณะของการปวดศีรษะ  เมื่อตรวจเจอว่าเป็นไมเกรน หมอจะชี้แนะข้อบังคับตัวต่างๆโดยเฉพาะ การหลีกเลี่ยงเหตุกำเริบ และจะให้ยารักษาดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ดังเช่นว่า การหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้าต่างๆอย่างเช่น การนอนพักผ่อนน้อยเกินไป หรือการนอนมากเหลือเกิน ความเคร่งเครียดการเช็ดกแดดมากจนเกินไป การได้รับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มอะไรบางอย่าง ได้แก่ กาแฟ ชอคโกแลต อื่นๆอีกมากมาย อาจจะก่อให้เกิดลักษณะของการปวดศีรษะได้ ส่วนใหญ่สาเหตุกระตุ้นเหล่านี้มักกำเนิดร่วมกันหลายๆอย่าง และบางโอกาสเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอเป็นทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงต้นสายปลายเหตุต่างๆพวกนี้ได้
  • การใช้ยารักษา การใช้ยารักษาควรจะใช้กรณีที่จำเป็นยาสุดที่รักษาเพียงพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
ยาสำหรับการรักษาอาการปวดไมเกรนแบบรุนแรง  อย่างเช่น

  • ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) เป็นต้นว่า ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ยกตัวอย่างเช่น Ibuprofen, Naproxen sodium, Paracetamol, Aspirin เป็นต้น
  • กลไกการออกฤทธิ์ : ยั้งเอมไซม์ cyclooxygenase (COX) ทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างสาร prostaglandins จึงลดอาการอักเสบได้
  • ข้อบ่งใช้: ทุเลาอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง
  • ปริมาณยาที่ใช้
  • Ibuprofen รับประทานครั้งละ 200-600 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 3.2 กรัมต่อวัน
  • Naproxen sodium รับประทานครั้งละ 275-550 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 1.65 กรัมต่อวัน
  • Paracetamol กินครั้งละ 500-1000 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน
  • Aspirin กินครั้งละ 650-1300 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน
  • อาการใกล้กัน: แผลในกระเพาะอาหาร
  • Ergot alkaloid ตัวอย่างเช่น ergotamine+caffeine tablet (Cafergot?)
  • กลไกการออกฤทธิ์: nonselective 5-HT receptor agonists โดยผลที่อยากหมายถึงทำให้เส้นเลือดที่สมองหดตัว
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาอาการปวดรุนแรง โดยเป็นยา first line สำหรับรักษาลักษณะของการปวดหัวไมเกรนฉับพลัน
  • ปริมาณยาที่ใช้: Cafergot? (ergotamine 1 มก. แล้วก็ caffeine 100 มิลลิกรัม) กินครั้งแรก 2 มก. ซ้ำได้ทุก 30 นาที ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 6 เม็ดต่อวันหรือ 10 เม็ดต่ออาทิตย์
  • อาการใกล้กัน: คลื่นไส้ อาเจียน
  • Triptans ดังเช่นว่า Sumatriptan, Naratriptan
  • กลไกการออกฤทธิ์: selective 5-HT receptor agonists โดยการทำให้เส้นเลือดที่สมองหดตัวแต่ว่าเหตุเพราะเป็น selective ก็เลยไม่ได้ไปกระตุ้น receptor อื่นที่ส่งผลให้เกิดอาการอ้วก คลื่นไส้ เหมือนใน ergot alkaloid ทำให้ไม่กำเนิดอาการอาเจียน คลื่นไส้
  • ข้อบ่งใช้: ทุเลาลักษณะของการปวดร้ายแรงรวมทั้งกะทันหันรวมทั้งอาการที่ซนต่อยาแก้ปวดขนานอื่นๆโดยจัดเป็นยา first line สำหรับรักษาอาการปวดหัว ไมเกรนเฉียบพลัน
  • ขนาดยาที่ใช้:
  • Sumatriptan รับประทานครั้งละ 25-100 มก. แล้วก็สามารถรับประทานซ้ำในชั่วโมงที่ 2 ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน
  • Naratriptan กินครั้งละ 2.5 มก.รวมทั้งสามารถรับประทานซ้ำในชั่วโมงที่ 4 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 5 มก.ต่อวัน
  • อาการข้างๆ: อาการแน่นหน้าอก, ใบหน้าร้อนแดง, อาเจียนอ้วก
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไมเกรน  คือ

  • กรรมพันธุ์ โดยประมาณ 70% ของคนป่วยจะมีประวัติเครือญาติสายตรงเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน และถ้าหากมีพี่น้องที่เป็นโรคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแบบมีลักษณะนำจำพวกออรา (Auraเป็นอาการที่เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น มองเห็นแสงสว่างวาบ มองเห็นจุดดำๆหรือรู้สึกซ่าในบริเวณใบหน้าและก็มือ) โอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีราว 4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วๆไป โดยส่วนมากยังไม่เคยทราบว่ามีการถ่ายทอดผ่านยีน ตัวไหนชัดแจ้ง แต่ว่าพบว่าบางทีอาจสามารถถ่าย ทอดผ่านทางจีนจากแม่สู่ลูกได้


แม้กระนั้น บางประเภทของโรคปวดศีรษะไมเกรน ทราบตำแหน่งยีนที่แตกต่างจากปกติชัดเจน คือ โรคไมเกรนประเภทมีอัมพาตครึ่งด้านร่วมด้วย (Familial hemiplegic migraine) เกิดขึ้นจากมีความผิด ปกติที่บางตำแหน่งบนหน่วยกรรมพันธุ์ (โครโมโซม/chromosome) คู่ที่ 1 หรือ 19 ซึ่งถ่าย ทอดทางพันธุกรรมได้ โดยคนป่วยจะมีลักษณะปวดศีรษะแบบมีอาการแขนขาอ่อนเพลียครึ่งส่วนเลวทราม คราวร่วมด้วย

  • การเป็นโรคบางจำพวก บุคคลที่มีโรคอะไรบางอย่างจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ดังเช่นว่า โรคลมชักบางประเภท โรคไขมันในเลือดสูงแบบที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคหืด คนที่มีฝาผนังกั้น ห้องหัวใจห้องบนรั่ว โรคกลัดกลุ้ม กังวล รวมทั้งโรคกรรมพันธุ์อีกหลายอย่าง


การติดต่อของโรคไมเกรน  โรคไมเกรนเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนไปจากปกติของระดับสารเคมีในสมอง รวมทั้งการสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานไม่ปกติของเส้นเลือดสมอง ซึ่งถึงแม้ว่าโรคไมเกรนสามารถถ่ายทองทางพันธุกรรมได้ แม้กระนั้นโรคไมเกรนก็ไม่ใช่โรคที่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคไมเกรน การดูแลตัวเอง  สำหรับคนที่แพทย์ วินิจฉัยว่

 

Sitemap 1 2 3