ผู้เขียน หัวข้อ: โรคภูมิเเพ้-อาการ-สาเหตุ-การรักษา-การรักษา-วิธีการป้องกัน-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 257 ครั้ง)

Treekaesorn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2253
    • ดูรายละเอียด

โรคภูมิแพ้ (Allergy)

  • โรคภูมิแพ้ คืออะไร โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจาการสนองตอบของร่างกายมากผิดปกติต่อสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นบางจำพวก ก็เลยส่งผลให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งที่สามารถก่อเกิดภูมิแพ้ ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่นำมาซึ่งภูมิแพ้กับคนธรรมดาทั่วไป โดยโรคภูมิแพ้กำเนิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี พบมากว่าเป็นหลายครั้งกว่าช่วงอายุอื่นๆเนื่องจากเป็นช่วงๆตอนที่โรคแสดงออกภายหลังจากได้รับ “ตัวกระตุ้น” มานานเพียงพอ เช่นไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่รวมทั้งได้ โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่พบมากทั่วโลกแล้วก็ในประเทศไทย จากการสำรวจในประเทศ ไทยพบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้น 3 - 4 เท่าภายในช่วงระยะเวลา 40 ปีที่ล่วงเลยไป  จากรายงานการเกิดสภาวะภูมิแพ้กล่าวว่า เมืองไทยมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ปริมาณราวๆ 10-15 ล้านคน และมีลัษณะทิศทางมากขึ้นอีก 3-4 เท่าด้านใน 5 ปี ด้านหน้า

    ยิ่งกว่านั้น ชนิดของโรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้เป็น 4 โรค คือ

  • โรคหืด (Asthma)
  • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือ โรคไซนัสอักเสบ
  • โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis)
  • โรคผื่นภูมิแพ้ (Atopic eczema)
  • ที่มาของโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ มีสาเหตุจากการที่ร่างกายผลิตภูมิต้านทานเพื่อขจัดสิ่งเจือปนที่รับเข้ามา ด้วยการขับสารตัวกลางออกมาต้านสิ่งปลอมปนพวกนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง จะสร้างโปรตีนอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา (ทางหมอเรียกว่า อิมมูนโนโกบูลิน-อี) ซึ่งมีคุณสมบัติถูกใจจับกับเซลล์พิเศษ 2 ประเภทหมายถึงมาสต์เซลล์ และเม็ดเลือดขาวประเภทเบโซฟิล แล้วก็สารตัวกลางนั้นก็ส่งผลให้เกิดการอักเสบแล้วก็อาการแพ้แก่ร่างกายด้วย การเกิดโรคภูมิแพ้เป็นเหตุมาจากภูมิต้านทานของร่างกายสถานที่สำหรับทำงานมากเกินไป นำไปสู่อาการแพ้ต่อบางสิ่งบางอย่างที่อาจไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วๆไป แต่ว่าทำให้เป็นอันตรายต่อตัวบุคคลที่แพ้เท่านั้น สารที่ร่างกายรับเข้ามาแล้วก็กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ในแบบต่างๆเรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” โดยร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ด้วยการแสดงอาการแพ้ในแบบที่ต่างกัน ตามชนิดของโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆขึ้นรถภูมิต้านทานซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในเลือด มีหน้าที่คอยปกป้อง และกำจัดเชื้อโรคแล้วก็สิ่งแปลกปลอมที่ไปสู่ร่างกาย ทำปฏิกิริยาสนองตอบต่อสารก่อภูมิแพ้บางประเภทที่ผู้ป่วยแพ้ เช่น คนเจ็บโรคภูมิแพ้อาหารส่วนมาก มักแพ้ของกินประเภทไข่ นม ถั่ว ปลาและก็อาหารทะเล การแพ้ของกินจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ในอาหารชนิดนั้นเท่านั้น ผู้ที่มิได้ป่วยไข้จะไม่ปรากฏอาการแพ้   สารก่อภูมิแพ้ที่พบมากจากภูมิแพ้จมูกหรือภูมิแพ้อากาศ มักมาจากไรฝุ่นผง เชื้อรา ต้นหญ้า ละอองเกสร ขนสัตว์ ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศรวมทั้งเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ  สารก่อภูมิแพ้ที่ไปสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังมีหลากหลายประเภท ตัวอย่างเช่น สารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ถุงมือยาง ยาย้อมสีผม โลหะ เงิน หรือแม้กระทั้งผงฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่ลอยปะปนอยู่กลางอากาศ   ส่วนภูมิแพ้ตา มักเป็นผลมาจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดไรฝุ่น ควัน สารเคมี ละอองเกสร ขนหรือสะเก็ดผิวหนังของสัตว์ที่ปนเปื้อนอยู่กลางอากาศและกระแสลม เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุดวงตา นำไปสู่อาการระคายและมีอาการแพ้ที่แสดงออกทางดวงตาในหลายแบบฯลฯ


ตัวอย่าง กลไกการเกิดภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากฝุ่นละอองแล้วก็ควัน มักเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยสิ่งที่พวกเราแพ้ในฝุ่นละอองเป็นโปรตีนนั่นเอง ซึ่งคล้ายกับกลไกการแพ้ของกินในบางบุคคล ดังเช่นว่า แพ้กุ้ง เนื่องจากว่าโปรตีนบางสิ่งบางอย่างในเนื้อหรือเปลือกกุ้ง ดังนี้ ในคราวแรกที่รับฝุ่นดังที่ได้กล่าวมาแล้วเข้าไป ร่างกายจะยังไม่แพ้ แต่ระบบภูมิต้านทานจะเรียนรู้ว่าโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบของฝุ่นดังกว่างนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอก และหลังจากนั้นจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนประเภทดังที่ได้กล่าวมาแล้ว (lgE) เมื่อได้รับฝุ่นผงประเภทเดียวกันในคราวต่อไป โปรตีนในฝุ่นผงจะเข้าไปจับกับ (lgE) ซึ่งอยู่บนเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวนี้แตกออกและปล่อยสารชนิดหนึ่งเรียกว่าฮีสตามีน (Histamine) ออกมา นำมาซึ่งการทำให้เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา ลำคอ เกิดการอักเสบ บวม แล้วก็สร้างมูกออกมามากยิ่งกว่าธรรมดา นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล รวมทั้งคันจมูกตามมา
ดังนี้ ปัจจัยที่เกิดโรคภูมิแพ้เนื่องจากระบบภูมิต้านทานมีปฏิกิริยาที่ไวเหลือเกินในการตอบสนองสิ่งแปลกปลอมแบบเปลี่ยนไปจากปกติถึงแม้ว่าสิ่งเจือปนนั้นไม่มีอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย แต่เป็นความเข้าใจผิดของร่างกายที่มีความคิดว่าสิ่งเจือปนบางสิ่งบางอย่างมีอันตรายจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง โดยการสร้างภูมิต่อต้านทางขึ้นเพื่อกำจัดรวมทั้งทำลายสิ่งเจือปนนั้น และแทนที่สารภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นจะเป็นเครื่องปกป้องร่างกาย กลับกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ร่างกายเจ็บเอง จึงก่อให้เกิดอาการแพ้นั่นเอง

  • ลักษณะโรคภูมิแพ้ พวกเราสามารถแบ่งอาการของโรคภูมิแพ้ตามระบบอวัยวะที่แสดงอาการได้ 6 อย่าง คือ
  • อาการแพ้ทางตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) ผู้ป่วยจะมีอาการคันรวมทั้งเคืองตา ตาแดง  น้ำตาไหล  หนังตาบวม  แสบตา
  • อาการแพ้ทางจมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคไซนัสอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คันจมูก  น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ  คัดจมูก  คันเพดานปากหรือคอ
  • อาการแพ้ทางหลอด เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด (asthma) คนเจ็บจะมีลักษณะ ไอ หอบเมื่อยล้า หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจติดขัดหรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะเวลาค่ำคืน ช่วงเวลาเช้ามืด หรือขณะออกกำลังกาย  หรือขณะไม่สบายหวัด
  • อาการแพ้ทางผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) ผู้ป่วยจะมีลักษณะคัน มีผื่นผื่นตามตัว  ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆหรือมีน้ำเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่  ในเด็กเล็ก มักเป็นที่แก้ม, ตูด, หัวเข่าและศอก  ในเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนแล้วก็ขา  ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณที่เป็นจะครึ้มตัวขึ้นรวมทั้งมีสีคล้ำขึ้น    นอกเหนือจากนั้นผิวหนังบางทีอาจมีการอักเสบจากการสัมผัสกับสารบางจำพวกที่แพ้ได้ เป็นต้นว่า แฟ้บ  เครื่องแต่งตัว    ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคัน หรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดง และคันมากมายที่เรียกว่า ลมพิษ  ซึ่งชอบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการแพ้ของกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา
  • อาการแพ้ ทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร (food allergy) ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะ คลื่นไส้ อ้วก  ท้องเสีย ปากบวม  ปวดท้อง  ท้องอืด อาจมีอาการของระบบฟุตบาทหายใจ (ดังเช่น อาการหอบหืด, แพ้อากาศ) รวมทั้งผิวหนัง (เช่น ผื่นคัน, ลมพิษ) ร่วมด้วย  อาหารที่เป็นต้นเหตุได้หลายครั้ง อาทิเช่น นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผักและผลไม้บางประเภท ผงชูรส ยากันบูด สารแต่งกลิ่นรวมทั้งสี
  • อาการช็อกจากภูมิแพ้ อาการภูมิแพ้จำพวกนี้นับว่าน่าสยดสยองและก็ร้ายแรงที่สุด มักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการแพ้สารหรือยาที่ฉีดมากยิ่งกว่า แต่บางทีอาจแพ้สารหรือยาที่กินเข้าไป หรือยาที่นำมาทาผิวหนังก็ได้ ซึ่งเจอน้อยกว่า การดูแลและรักษาไม่ได้ทำยาก ถ้าเกิดพบแพทย์ทันการ แต่ว่าถ้าเกิดเป็นรุนแรงมากมาย หรือรักษาไม่ทันอาจถึงแก่กรรมได้
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคภูมิแพ้ ทางพันธุกรรม ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ เปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะเป็น 30% แม้กระนั้นถ้าบิดาแล้วก็แม่เป็น ลูกมีสิทธิ์เป็นถึง 50% โดยมีการวิจัยและมีหลักฐานหลายประเภทที่ทำให้มั่นใจว่า โรคนี้ถ่ายทอดทางด้านกรรมพันธุ์ เนื่องจากถ้าอีกทั้งบิดาแล้วก็แม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ปริมาณร้อยละ 30 ถ้าเกิดบิดาหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เพียงคนเดียว ลูกมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้ปริมาณร้อยละ 25 แต่ว่าหากพ่อแม่ไม่มีผู้ใดเป็นเลย ลูกได้โอกาสเป็นปริมาณร้อยละ 12.5 พูดง่ายๆก็คือ หากบิดาและแม่เป็นภูมิแพ้ ลูกได้โอกาสเป็นภูมิแพ้สูงกว่าเด็กอื่นถึง 2-4 เท่าเลยทีเดียว สัมผัสสารก่อภูมิแพ้เป็นสารที่ทำให้คนเจ็บกำเนิดอาการของโรคภูมิแพ้ซึ่งบางทีอาจเป็นสารที่ร่างกายได้รับโดยการ ฉีด รับประทาน หายใจ สัมผัส หรือ ถูกกัดต่อยบนผิวหนังก็ได้ มีสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน (ตัวอย่างเช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ เศษผิวหนังรวมทั้งขนย้ายสัตว์เลี้ยง เชื้อรา ควันจากบุหรี่) และสารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน (ตัวอย่างเช่น ฝุ่นละอองในสถานที่สำหรับทำงาน เกสรดอกไม้ ควันต่างๆ) ยิ่งไปกว่านี้ อุณหภูมิของอากาศก็เป็นอีกหนึ่งที่มาของอาการภูมิแพ้ อากาศหนาวเย็นจะมีผลให้มีอาการแพ้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่งสารก่อภูมิแพ้พวกนี้จะเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ก่อเป็นภูมิแพ้ขึ้นได้
  • วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ การวิเคราะห์โรค

ซักความเป็นมา โดยอาศัยลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของอาการ เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้แล้วก็หมอจะถามถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ(atopic diseases) และลักษณะของโรคพวกนั้น ที่ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจเป็นด้วย ตัวอย่างเช่น โรคหอบหืด โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ นอกเหนือจากนี้จะถามเรื่อง อาชีพ สัตว์เลี้ยง รวมทั้งสภาพแวดล้อม ของคนไข้ในขณะที่บ้านรวมทั้งสถานที่สำหรับทำงานรวมทั้งสารที่คนป่วยมีความรู้สึกว่าตนแพ้ ประวัติครอบครัวก็มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค โดยคนไข้โรคภูมิแพ้อาจมีบิดา แม่ หรือญาติ เป็นโรคนี้ได้
ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจร่างกายข้างนอกว่ามีลักษณะอาการแสดงใดบ้างที่บ่งชี้ถึงโรคภูมิแพ้ ยกตัวอย่างเช่น ตรวจตา จมูก ลำคอ ช่วงอก และผิวหนังทั่วๆไป ในบางรายบางทีอาจจะต้องตรวจการดำเนินการของปอดด้วยเครื่องเป่าลม หรือบางทีอาจจำต้องเอกซเรย์เพื่อมองการทำงานของปอดร่วมด้วย
การหา IgE ที่ผิวหนัง  โดยการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (allergy skin test) จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่คนไข้แพ้ ทำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง และให้ข้อมูลในเรื่องที่จำต้องรักษาคนไข้ด้วยแนวทาง immunotherapy การตรวจแนวทางนี้เป็นแนวทางที่มีความไวและความจำเพาะสูงสุด ในการตรวจวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ มี 2 วิธีเป็น

  • Skin prick test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ หยดลงบนผิวหนังที่แขน แล้วใช้เข็มสะกิดตรงกลางหยดน้ำยา เพื่อเปิดผิวหนังชั้นบนออก ถ้าผู้ป่วยมี IgE ที่เฉพาะต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ก็จะเกิดปฏิกิริยา allergic inflammation ขึ้นโดยเกิดรอยนูน (wheal) และก็ผื่นแดง (flare) อ่านผลประโยชน์ในเวลา 20 นาที ข้างหลังการทดลอง
  • Intradermal test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ จำนวน 0.02 มิลลิลิตรฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ให้กำเนิดรอยนูนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 5 ม.มัธยมอ่านผลในเวลา 20 นาที หลังฉีดโดยวัดขนาดของรอยนูนที่ขยายใหญ่ขึ้น
  • สารก่อภูมิแพ้ที่นำมาทดลอง มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ ที่พบได้มาก ได้แก่ ฝุ่นผงบ้าน ตัวไรในฝุ่น แมลงต่างๆที่อาศัยในบ้าน อย่างเช่น แมลงสาบ และจะมี positive (histamine) รวมทั้ง negative control (carrier substance) ร่วมในการทดลองด้วย เพื่อแน่ใจว่าคนเจ็บไม่ได้แพ้สารที่ใช้ละลายในสารก่อภูมิแพ้ที่เอามาทดลอง แล้วก็ผิวหนังตอบสนองได้ดีต่อ histamine โดยทั่วไปจะทดสอบโดยวิธี skin prick test ก่อนโดยนับว่าเป็น screening test ถ้าเกิดผล skin prick test ให้ผลลบ จึงทดสอบโดยวิธี intradermal test ถัดไป ถ้า skin prick test ให้ผลบวกเด่นชัด ไม่จำเป็นที่จะต้องกระทำทดลองโดยแนวทางintradermal test อีก เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิด systemic reaction การทดลองโดยตรวจค้น IgE ที่ผิวหนังนี้ ต้องมีวัสดุจัดแจงสำหรับ resuscitation ด้วยเสมอ เผื่อในกรณีเกิด anaphylactic reaction
  • การหาจำนวน IgE ในเลือด ซึ่งหาได้ทั้งยัง total IgE เป็นเป็นระดับของ IgE รวม ไม่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ประเภทใดชนิดหนึ่ง ซึ่งหาได้โดยแนวทาง Paper Radio – Immunosorbent Test (PRIST) และก็หา specific LgE คือหาระดับ IgE ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละประเภท ซึ่งหาโดยแนวทาง Radio Allergosorbent test (RAST) การหา total IgE ไม่ช่วยมากสักเท่าไรนักสำหรับการวินิจฉัยโรค ส่วนการหา specific IgE เป็นที่ชื่นชอบในต่างชาติ เพราะว่าไม่มีความเสี่ยงต่อ systemic reaction คนป่วยไม่จำเป็นที่ต้องงดเว้นยา ไม่ต้องใช้เวลาของคนไข้นานสำหรับเพื่อการทดลอง ไม่ราวกับวิธีการทำ skin test ทำให้สบายเพียงแต่เจาะเลือด 1 ครั้ง หาสารที่คนป่วยแพ้ได้หลายอย่าง แต่ในประเทศไม่นิยมใช้ เพราะเหตุว่าราคาแพงแพง
  • X-ray sinus เพื่อดูว่าคนเจ็บโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีโรคไซนัสอักเสบร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย และควรจะทำทุกราย จากการเรียน plain film sinus ในคนเจ็บโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ รพ.ศิริราช จำนวน 356 ราย พบว่ามีพยาธิสภาพเกิดขึ้นที่ sinus ถึงจำนวนร้อยละ 40
การรักษาโรคภูเขาแพ้ อาจแบ่งได้เป็น 3 วิธี เป็น

  • การใช้ยาสำหรับเพื่อการรักษา ในตอนนี้มียารักษาลักษณะของโรคภูมิแพ้หลายสิบจำพวก แต่ว่าพอจะแยกประเภทได้ 4 ประเภท เป็น


ยาแก้แพ้ (แอนติฮิสตะมีน) ที่คนจำนวนมากรู้จักกันดีเป็นคลอร์เฟนิรามีน (ยาแก้แพ้เม็ดสีเหลือง ที่จริงแล้วมีหลายสีสุดแต่บริษัทผลิต) ปัจจุบันนี้มียาแก้แพ้ผลิตออกมากว่า 30 จำพวก ราคาตั้งแต่เม็ดละไม่กี่สตางค์จนกระทั่ง 7-8 บาท เชื่อว่าสมรรถนะไม่ได้แตกต่างกัน ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ส่วนมากกินแล้วง่วง คอแห้งผาก อย่างไรก็ดี ตอนนี้มียารุ่นใหม่ๆที่รับประทานแล้วไม่ง่วงรวมทั้งมีฤทธิ์แก้แพ้ได้นาน โดยรับประทานเพียงวันละ 1-2 ครั้งก็พอ แม้กระนั้นจุดด้วยเป็น ราคายังแพงอยู่ ยานี้ใช้รักษาอาการคันจมูก จาม ลดน้ำมูก แล้วก็รักษาลมพิษผื่นคัน
ยาแก้คัดจมูก มักเป็นยาทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว และทำให้น้ำมูกลดน้อยลง ผู้เจ็บป่วยก็เลยรู้สึกสบายขึ้น มีทั้งยังยากินและก็ยาพ่น แต่ยาพ่นมีปัญหา คือ เมื่อใช้แล้วในช่วงแรกจะได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้กระนั้นถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะมีผลให้ดื้อยาและก็เป็นมากขึ้นได้ ควรต้องใช้ในระยะสั้นๆเท่านั้น
ยาขยายหลอดลม (ยาแก้โรคหืด) สำหรับผู้ที่แพ้จนกระทั่งมีลักษณะอาการเป็นหืด มีทั้งยังยารับประทาน ยาฉีด แล้วก็ยาพ่นโดยธรรมดายังนิยมใช้ยากิน  ส่วนยาพ่น ในต่างถิ่นเป็นที่ยอมรับกันมากมาย ส่วนในเมืองไทยกำลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ข้อดีคือ ส่งผลใกล้กันน้อย ไม่ซับเข้ากระแสเลือดและออกฤทธิ์รวดเร็วทันใจ แต่ว่ามีข้อเสียเป็น ก่อนใช้ควรมีการแสดงตัวอย่างวิธีการใช้อย่างถูกต้อง มิฉะนั้นจะไม่ได้เรื่อง ส่วนยาฉีดจะใช้ในกรณีที่หอบมากมายแล้วก็รับประทานยา พ่นยาแล้วไม่เป็นผล
ยาคุ้มครองปกป้องภูมิแพ้ มีทั้งยากินและยาพ่น ยารับประทานปกป้องภูมิแพ้เห็นผลในเด็กมากยิ่งกว่าผู้ใหญ่ ส่วนยาพ่นบางชนิดมีสาระในผู้ใหญ่ด้วย

  • การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ยกตัวอย่างเช่น จัดห้องนอนและบ้านให้ง่ายต่อการกำจัดฝุ่นหรือมีฝุ่นต่ำที่สุด แนวทางการสำคัญๆก็คือ อย่าให้บ้านรก มีเครื่องเรือนเท่าที่มีความจำเป็น เฟอร์นิเจอร์ควรเป็นไม้ พลาสติก หรือห่อหุ้มเบาะหนัง ไม่สมควรบุนวม หุ้มห่อผ้า เพื่อจะได้ลดฝุ่นละอองแล้วก็ทำความสะอาดง่าย พื้นควรเป็นพื้นธรรมดาหรือไม้ขัดมัน ไม่ควรปูพรม กระบวนการทำความสะอาดพื้น ควรที่จะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหรือขัดถู หรือใช้เครื่องดูดฝุ่น ไม่สมควรใช้ไม้ปัดกวาด แต่บางทีอาจให้ผู้อื่นปัดกวาดในตอนที่คุณไม่อยู่ก็ได้ ไม่สมควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าในบ้าน แพ้ไรฝุ่น ควรจะห่อหุ้มที่นอนด้วยหนังหรือพลาสติก (ก่อนนอนคลุมด้วยผ้าที่มีไว้สำหรับปูที่นอนอีกชั้นสูงสุด) จะได้ใช้น้ำอุ่นเช็ดถูทุกครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนได้ ควรใช้หมอนจำพวกใยสังเคราะห์และซักน้ำร้อนทุกหนึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย การตากแดดมิได้ฆ่าไรฝุ่นละอองแต่อย่างใด ไม่ควรปลูกต้นไม้ดอกไม้ในห้องนอน เพราะว่าเป็นแหล่งเปียกชื้นอย่างหนึ่ง ควรจะขจัดเพื่อลดปริมาณเชื้อรา หน้ากากเครื่องเครื่องปรับอากาศที่เฉอะแฉะหรือฝาผนังที่ชื้น ควรจะใช้น้ำยาไลซอลเพื่อกำจัดเชื้อรา การหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่างๆก็มีความหมายหมายถึงควันของบุหรี่ ควันไฟ รวมทั้งกลิ่นแรงทั้งหลายแหล่
  • วิธีภูเขามิคุ้นกันบำบัดรักษา (Immuno therapy) หรือการฉีดวัคซีน ถ้าเกิดอุตสาหะเลี่ยงสิ่งที่แพ้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว และก็กินยารักษาอาการที่แพ้ต่างๆแล้วอาการยังเป็นอยู่มาก หรือต้องใช้ยาหลายตัว แพทย์อาจตรึกตรองแนะนำให้ฉีดวัคซีนภูมิแพ้ จุดมุ่งหมายของการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ ก็คือ อยากปรับเปลี่ยนภาวะการตอบสนองของร่างกายจากภูมิแพ้ให้แปลงเป็นมีภูมิคุ้มกันแพ้แทน ขั้นตอนการฉีดยาภูมิแพ้มีว่าภายหลังจากทดสอบทางผิวหนังจนกระทั่งทราบดีแล้วว่าแพ้อะไรบ้าง หมอก็จะนำสารสกัดที่แพ้มาฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง โดยเริ่มจากขนาดต่ำๆรวมทั้งค่อยๆเพิ่มขนาดและปริมาณมากขึ้น โดยขั้นแรกฉีดทุกหนึ่งสัปดาห์จนถึงขนาดสมควร ถัดไปจะฉีดห่างออกไปเรื่อยๆจากทุกหนึ่งสัปดาห์สุดท้ายเป็นทุกเดือนถึงเดือนครึ่ง เมื่ออาการแพ้ดีขึ้นมากมายรวมทั้งลดขนาดยากินต่างๆได้ แปลว่าสำเร็จ ซึ่งมักจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3 เดือนกว่าจะเห็นผล ถัดไปจะฉีดทุก 1-2 เดือนจนถึงครบ 3-4 ปี (เฉลี่ยแล้วฉีดปีละ 6-12 ครั้งเท่านั้น) ท่านใดที่อาการแพ้หายไป รวมทั้งหยุดยาต่างๆได้ เมื่อถึงกำหนด 3-4 ปี แพทย์จะพิจารณาหยุดฉีดยาสุดท้าย
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
  • ใส่หน้ากากปกป้องฝุ่นละอองขณะทำงานกับฝุ่น
  • ชำระล้าง เอาวัตถุที่ไม่มีความจำเป็นออกจากห้องทำงานแล้วก็ห้องนอนให้มากมายหนสุด ในห้องนอนควรจะมีสิ่งประดับน้อยชิ้นที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเก็บฝุ่นละออง
  • ในกรณีแพ้ไรฝุ่นละออง ควรทำความสะอาดเครื่องนอน (ที่นอน หมอน ผ้าห่ม) โดยซักด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15-20 นาที ขั้นต่ำทุก 2 สัปดาห์
  • ควรตัดหญ้า หรือ วัชพืชรอบๆบ้านเป็นประจำเพื่อลดจำนวนเกสรรวมทั้งสารก่อภูมิแพ้ในวัชพืชแล้วก็ดอกไม้
  • ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน ยกตัวอย่างเช่น หมา แมว นก
  • กำจัดเศษอาหารรวมทั้งขยะต่างๆรวมทั้งปิดฝาท่อสำหรับเพื่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
  • ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศบ่อยๆและก็ใช้แบบที่มีที่กรองอาการประเภท HEPA filter (High Efficiency Particulate Air Filter)
  • ระวังอย่าให้บ้าน สุขา อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้านเพาะทำให้เชื้อราเติบโต
  • เลี่ยงบริเวณที่มีควันบุหรี่ ควัน แล้วก็บริเวณที่มีฝุ่นมาก
  • บริหารร่างกายให้เป็นประจำ แม้มีลักษณะอาการหอบอิดโรยเวลาบริหารร่างกาย ควรจะสูดยา ปกป้องอาการหอบก่อน
  • ใช้ยาจากที่แพทย์สั่งแค่นั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะบางจำพวกถ้าหากใช้ต่อเนื่องนานอาจมีอันตรายได้
  • การติดต่อของโรคภูมิแพ้ เหตุเพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีเหตุมาจากการทำงานที่เปลี่ยนไปจากปกติที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ของภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของบางคนเพียงแค่นั้น ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนรวมทั้งจากสัตว์สู่คน (แต่มีการตกทอดทางพันธุกรรมได้)
  • การคุ้มครองตัวเองจากโรคภูมิแพ้ เป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค คือการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ กินอาหารที่มีประโยชน์และก็ถูกสุขลักษณะ บริหารร่างกายอย่างเหมาะสมบ่อย และก็หมั่นตรวจเช็คสุขภาพรายปี  และเพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคไม่ติดต่อ รวมทั้งจะกำเนิดกับคนที่ร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้แค่นั้น ฉะนั้น การปกป้องคุ้มครองจำนวนมากก็เลยเป็นกระบวนการสำหรับคนไข้ เพื่อไม่ให้อาการแพ้นั้นกำเริบเสิบสานร้ายแรง  ตัวอย่างเช่น หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากมีอาการป่วยด้วยโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ควรจะหลบหลีกการสัมผัสหรือเผชิญกับสิ่งที่มีสารที่ตนแพ้ อย่างเช่น คนป่วยที่แพ้อาหารทะเล ควรจะเลี่ยงการทานอาหารที่ทำจากสัตว์ทะเลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกินแปรรูป อาหารสด หรืออาหารแห้ง ผู้ที่แพ้ฝุ่นควรหลบหลีกการเดินทางบนท้องถนนที่มีฝุ่นละอองควัน ไม่ลดกระจกลงขณะโดยสารอยู่บนรถ หลีกเลี่ยงการเดินผ่านเขตบริเวณที่มีการก่อสร้าง รวมทั้งรักษาความสะอาดในบ้านและห้องนอน ให้มีอากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดเข้าถึง เพื่อปกป้องการสะสมฝุ่นละอองและก็ไรฝุ่นที่จะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เขียนบันทึก ลงบันทึกประจำวันว่าทำกิจกรรมอะไรหรือกินอะไรแล้วมีลักษณะเช่นไร เป็นการเล่าเรียนอาการแพ้ รวมทั้งให้รู้สิ่งที่แพ้แล้วก็สิ่งที่ไม่แพ้ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่หมอผู้รักษา รวมทั้งการวางแผนรักษาอย่างเหมาะควรถัดไป รับประทานยา ยาจะช่วยป้องกันแล้วก็ทุเลาอาการแพ้ โดยผู้เจ็บป่วยภูมิแพ้ต้องรับประทานยาจากที่หมอระบุ ไม่หยุดใช้ยาโดยพลการ เนื่องจากว่าอาจมีผลข้างเคียง มีลักษณะดื้อยา หรือมีอาการแพ้ที่กำเริบเสิบสานขึ้น  เตรียมในคราวฉุกเฉิน สำหรับคนไข้ที่มีลักษณะแพ้รุนแรง ควรจะแจ้งลักษณะการป่วยของตัวเองกับบุคคลใกล้ชิด หรือในบางราย แพทย์จะให้ผู้ป่วยพกยาฉีดเอพิเนฟรินสำหรับฉีดรักษาโดยใช้ตนเองถ้าเกิดอาการไม่ดีขึ้น รวมทั้งจัดเตรียมเบอร์โทรเร่งด่วนที่จำเป็นจะต้องเอาไว้ภายในคราวที่มีความเร่งด่วนเสมอ
นอกจากนี้ควรไปพบหมอเมื่อมีลักษณะตั้งแต่นี้ต่อไป

  • น้ำมูลไหล คัดจมูก จาม คันจมูกเรื้อรัง
  • ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
  • ไอมากมายหรืออ่อนล้าเวลาเป็นหวัด ตอนออกกำลังกาย หรือตอนกลางคืน
  • ผื่นคันเรื้อรังตามผิวหนังส่วนต่างๆของร่างกาย
  • เป็นลมพิษบ่อยมาก
  • สัมผัสสารบางอย่างแล้วผื่นขึ้น
  • กินอาหารบางจำพวกแล้วมีผื่น น้ำมูกไหล หรือแน่นหน้าอก
  • คันตา แสบตา ร้องไห้เรื้อรัง
  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคโรคหอบหืด
  • ถั่งเช่า มีสรรพคุณลดการตำหนิดเชื้อแล้วก็บรรเทาอาการ อย่าง ภูมิแพ้ หอบหืด ถั่งเช่ามีฤทธิ์สำหรับการควบคุมสมดุลของ Allergen-reactive helper T cells Type I แล้วก็ II ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีการทำงานของ Type II มากเกินธรรมดา อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรค ยิ่งไปกว่านี้มีฤทธิ์ลดการจับของสารก่อภูมิแพ้กับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย การลดกลไกนี้ลงจะทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้น้อยลง รวมทั้งยังช่วยลดกรรมวิธีการสร้างอิมมูโนกลอบูลิน ชนิด อี (IgE) +ที่มากเหลือเกิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้รวมทั้งเป็นตัวกระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีก
  • กระเทียม สารอัลลิสินที่สกัดได้จากกระเทียมมีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ผู้เจ็บป่วยไม่เป็นหวัด ช่วยบรรเทาลักษณะของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  • ไพล เหง้าไพลมีน้ำมันหอมระเหย และก็มีสารให้สี ซึ่งจากการทดลองพบว่ามีฤทธิ์ลดอาการโรค

 

Sitemap 1 2 3