ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไส้ติ่งอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 248 ครั้ง)

Treekaesorn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2253
    • ดูรายละเอียด

โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
โรคไส้ติ่งอักเสบคืออะไร  ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเสมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบและก็ยาว มีขนาดกว้างเพียง 5-8 มิลลิเมตร และมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 ซม. (ในคนแก่) ข้างในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ผนังภายในของไส้ติ่งมีเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเยื่อเกิดการอักเสบได้ง่าย โดยเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากช่วงวัยรุ่น จึงพบไส้ติ่งอักเสบเกิดได้หลายครั้งในวัย รุ่น ไส้ติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ปฏิบัติภารกิจสำหรับการย่อยรวมทั้งดูดซับอาหาร เนื่องด้วยเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบจึงทำให้เนื้อฝาผนังไส้ติ่งเน่าตายรวมทั้งเป็นรูทะลุในเวลาอันเร็วทันใจได้
ไส้ติ่งอักเสบเป็น อาการบวมรวมทั้งติดเชื้อของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและก็อันตราย ซึ่งจึงควรได้รับการผ่าตัดอย่างเร่ง ด่วน เนื่องจากว่าหากว่าทิ้งเอาไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง และก็บางทีอาจเป็นสา เหตุร้ายแรงจนกระทั่งติดโรคในกระแสโลหิตจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้
โดยการเสียชีวิตส่วนมากของโรคไส้ติ่งอักเสบเกิดขึ้นจากภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบรวมทั้งภาวการณ์ช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการชี้แจงเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พุทธศักราช 2429 เดี๋ยวนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเลิศในสิ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงรุนแรงที่พบบ่อยที่สุดทั้งโลกและ โรคไส้ติ่งอักเสบยังเจอเป็นต้นเหตุอันดับที่หนึ่งของโรคปวดท้อง ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้แนวทางผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยที่ศึกษาค้นพบว่าคนเจ็บปลดปล่อยให้มีลักษณะอาการปวดท้องนานยาวนานหลายวันแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยมาโรงหมอ  ซึ่งชอบพบว่าเป็นถึงกับขนาดไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบมาก เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนกระทั่งคนแก่ และยังรวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ แต่ว่าจะพบบ่อยในช่วงอายุ 10-30 ปี (เจอได้น้อยในคนแก่ เพราะเหตุว่าไส้ติ่งตีบแฟบมีเยื่อหลงเหลือน้อย แล้วก็ในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 3 ปี เหตุเพราะโคนไส้ติ่งยังออกจะกว้าง) ในสตรีแล้วก็เพศชายได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน และมีการคาดทำนองว่าในตลอดชีพของคนเราจะได้โอกาสเป็นโรคนี้ราวๆ 7% ในปีๆหนึ่งจะมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้โดยประมาณ 1 ใน 1,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ เกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกันนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่เคยรู้ต้นสายปลายเหตุชัดเจน แต่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกันอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งจำนวนน้อยเกิดการเจริญรุ่งเรืองขยายพันธุ์และรุกล้ำเข้าไปในฝาผนังไส้ติ่ง จนกระทั่งเกิดการอักเสบตามมา แม้ปลดปล่อยไว้เพียงไม่กี่วัน ผนังไส้ติ่งก็มีการเน่าตายรวมทั้งแตกทะลุได้ และก็ต้นสายปลายเหตุที่พบได้รองลงมาเป็น มีต้นเหตุมาจากเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ฝาผนังไส้ติ่งที่ดกตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย นอกจากนี้อาจเกิดจากสิ่งปลอมปน (อาทิเช่น เมล็ด), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญเป็น พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางครั้งก็อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการต่อว่าดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งมีการปฏิกิริยาสนองตอบด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปกีดกันไส้ติ่ง และทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่เกิดอาการอักเสบท้ายที่สุด ในผู้เจ็บป่วยบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus)  ซึ่งชอบเจอได้ในคนเจ็บโรคภูมิคุมกันบกพร่อง และบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่หมอไม่เคยทราบต้นเหตุเลยก็ได้
ลักษณะโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นคือ คนป่วยจะมีลักษณะปวดท้องที่มีลักษณะสม่ำเสมอและปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาก็มักจะปวดอยู่นานยาวนานหลายวัน จนถึงผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวจำต้องพาส่งโรงพยาบาล ซึ่งอาการของไส้ติ่งอักเสบนั้นอาจแบ่งได้สองชนิด คือจำพวกไม่อ้อมค้อมและชนิดไม่ขวานผ่าซากดังนี้ ประเภทขวานผ่าซากเดิมอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่เหมือนโรคกระเพาะ บางคนอาจปวดบิดเป็นตอนๆรอบๆสะดือ เหมือนลักษณะของการปวดแบบท้องร่วง บางทีอาจเข้าส้วมบ่อย แต่ว่าถ่ายไม่ออก (แต่ว่าบางบุคคลอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ต่อมาจะมีลักษณะอาการอ้วก คลื่นไส้ ไม่อยากกินอาหารร่วมด้วย ลักษณะของการปวดท้องมักจะไม่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะรับประทานยาแก้ปวดใดๆ ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดระยะเวลา และจะเจ็บมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้เจ็บป่วยจะนอนนิ่งๆถ้าหากเป็นมากผู้ป่วยจะนอนงอขา เอียงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น  เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งเด่นชัด มีแนวทางตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้คนป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้กำปั้นทุบเบาๆตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)คนป่วยจะรู้สึกเจ็บมากมาย (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) ผู้เจ็บป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนจำพวกไม่ขวานผ่าซากนั้นอาจจะเริ่มจากมีอาการปวดเริ่มที่พุงข้างล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องร่วง และมีการดำเนินโรคที่ช้านานค่อยๆเป็น ค่อยๆไปกว่าจำพวกไม่อ้อมค้อม ถ้าเกิดไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจจะส่งผลให้มีลักษณะอาการฉี่บ่อยครั้ง ถ้าไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ด้านหลังลำไส้เล็กช่วงท้ายอาจมีอาการคลื่นไส้ร้ายแรงได้ บางรายบางทีอาจรู้สึกเจ็บปวดเบ่ง

ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีตั้งครรภ์ อาจมีอาการบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนโดยทั่วไปทั่วๆไป ดังนี้

  • ในกลุ่มคนเจ็บที่เป็นเด็ก เด็กที่แก่ต่ำว่า 2 ปี ลงไป จะมีอาการที่เห็นได้ชัดเป็น อาเจียนมาก ท้องเฟ้อ ถ้าใช้มือกดรอบๆหน้าท้องจะรู้สึกเจ็บ ส่วนเด็กที่แก่มากยิ่งกว่า 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มบ่งบอกอาการได้ ซึ่งอาการก็จะไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป
  • ในกลุ่มคนไข้ที่เป็นสตรีมีท้อง เนื่องจากว่าอวัยวะต่างๆที่ถูกดันให้สูงขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ไส้ติ่งของสตรีตั้งครรภ์จะเคลื่อนไปอยู่ที่รอบๆหน้าท้องส่วนบน ซึ่งหากมีลักษณะอาการไส้ติ่งอักเสบจะมีผลให้ปวดบริเวณพุงส่วนบนด้านขวาแทน นอกจากนี้อาจมีอาการปวดบีบที่ท้อง มีก๊าซในกระเพาะ หรืออาการแสบร้อนที่กึ่งกลางอก บางรายอาจพบอาการท้องเดิน หรือท้องผูกควบคู่กัน


ผู้เจ็บป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบถ้าหากไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมงหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดแปลงเป็นเนื้อเน่ารวมทั้งตาย สุดท้ายผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยจะแตกทะลุ หนองและก็สิ่งสกปรกข้างในลำไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้แปลงเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) แล้วก็หากเชื้อแบคทีเรียลุกลามไปสู่กระแสเลือดก็จะมีการติดเชื้อโรคในกระแสโลหิต เป็นโทษจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
กรรมวิธีรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่มีปัญหาสำหรับเพื่อการวินิจฉัยให้ที่ถูกต้องค่อนข้างมากมาย คนป่วยบางรายได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคนี้ แม้กระนั้นเมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ คนป่วยบางรายแม้จะไปพบหมอแต่ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น จนถึงไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการดูแลและรักษาวินิจฉัยที่ถูก เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายชอบวินิจฉัยโรคนี้ได้ภายหลังจากการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กเล็กและก็ผู้ป่วยแก่พบว่าบางทีอาจกำเนิดปัญหาร้ายแรง ถ้าได้รับการวินิจฉัยรวมทั้งรักษาโรคช้าเพราะเหตุว่ามีภูมิคุ้มกันต่ำ
                การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบ การวินิจฉัยโรคในคนเจ็บส่วนมากอาศัยลักษณะทางคลินิก (clinical menifestation) เป็นอาการและก็การตรวจเจอเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการรวมทั้งการค้นหาทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มอื่นๆมีความสำคัญน้อย มีสาระเฉพาะในผู้ป่วยบางรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่ชัดเจนเพียงแค่นั้นโดยมีวิธีการวินิจฉัยดังต่อไปนี้

  • การวินิจฉัยลักษณะของไส้ติ่งอักเสบ คือ
  • อาการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ช่วงแรกมักจะปวดบริเวณสะดือ หรือบอก ไม่ได้แจ่มแจ้งว่าปวดที่รอบๆใดแม้กระนั้นระยะถัดมาลักษณะของการปวดจะชัดแจ้งที่ท้องน้อยทางด้านขวา (right lower quadrant-RLQ)
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมด้วยคือ


                          - อ้วก อ้วก อาการนี้เจอได้ในคนเจ็บดูเหมือนจะทุกราย
                          - ไข้ ชอบกำเนิดหลังจากเริ่มอาการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
                          - ไม่อยากอาหาร
                          - ท้องร่วง เจออาการในคนไข้บางราย ชอบกำเนิดหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ อธิบาย ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum

  • ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยลักษณะของลำไส้ตันได้
  • การตรวจร่างกาย เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรค
  • ผู้กระทำดเจ็บเฉพาะที่ (local tenderness) แทบจะทั้งหมดจะมี maximal tenderness ที่ RLQ และก็อาจมี guarding และ rebound tenderness ด้วย ในคนเจ็บไส้ติ่งแตกทะลุ tenderness รวมทั้ง guarding มักตรวจพบรอบๆกว้างขึ้นหรือเจอทั่วรอบๆท้องน้อยด้านล่าง 2 ข้าง จากการมี pelvic peritonitis ในรายที่เป็นก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักคลำได้ก้อนที่ RLQ
  • การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) นับว่าเป็นประโยชน์มากมาย จะพบว่ากดเจ็บที่ด้านขวาของ cul-de-sac แม้กระนั้นไม่นิยมทำในเด็กเล็กเพราะแปลผลได้ลำบาก ในเด็กหญิงอาจมีประโยชน์สำหรับการวินิจฉัยแยกโรคที่มีต้นเหตุมากจาก twisted ovarian cyst เพราะว่าบางทีอาจคลำได้ก่อน ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจาก pelvic inflammatory disease นอกเหนือจากที่จะได้ประวัติการร่วมเพศแล้วการตรวจข้างใน (per vagina examination - PV) จะให้คุณประโยชน์มากมาย
  • การตรวจอื่นๆบางทีอาจได้ผลบวกในการตรวจ เช่น


                          - Rovsing sign
                          - Obturator sign
                          - Psoas sign

  • การตรวจทางห้องปฎิบัติการ ไม่ค่อยมีความหมายมากเท่าไรนักในผู้ป่วยส่วนมาก โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวิเคราะห์ได้อยู่แล้ว แต่ว่าจะทำเป็นฐานรากเพื่อการดูแลระหว่างการดูแลและรักษาต่อไป ยกตัวอย่างเช่น
  • complete blood count มักพบว่า เม็ดเลือดขาวสูงยิ่งกว่าธรรมดารวมทั้งมี shift to the left
  • การตรวจปัสสาวะ ไม่ค่อยมีสาระมากสักเท่าไรนักในการวินิจฉัยแยกโรค แต่ว่าช่วยแยกโรคอื่น ตัวอย่างเช่น มีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะอาจจำต้องคิดถึงนิ่วในท่อไต
  • การตรวจพิเศษ ในรายที่ลักษณะทางคลินิกบ่งชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบรุนแรง การตรวจพิเศษเพิ่มเติมอีกก็ไม่จำเป็น แต่ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลกำกวมนั้น การตรวจพิเศษอาจมีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรค ได้แก่
  • การถ่ายภาพรังสีของช่องท้อง อาจพบเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของท้อง หรือ barium enema ไม่มีความสำคัญในคนไข้โดยมาก แม้กระนั้นอาจช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรคในผู้เจ็บป่วยบางรายที่มีปัญหาในการวินิจฉัยโรค


ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดแค่นั้น เนื่องจากจะช่วยรักษาอาการและก็ช่วยกำจัดการเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในตอนนี้คือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เพราะเหตุว่าเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้โดยทันที เหมาะกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่รุนแรงนัก ถ้าหากร้ายแรงถึงกับขนาดไส้ติ่งแตก ก็ต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะนอกจากจะต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจะต้องทำความสะอาดด้านในช่องท้อง แล้วก็ใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยแพทย์จะตรึกตรองผ่าตัดรักษาดังต่อไปนี้

  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ เสนอแนะให้การรักษาด้วยการใช้การ ผ่าตัดโดยเร็ว ภายหลังการเตรียมผู้เจ็บป่วยให้พร้อมแล้วก็สมควรต่อการให้ยาสลบและก็การผ่าตัด
  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกกำกวมว่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แต่ว่ามีสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าบางทีก็อาจจะเป็นโรคนี้ ควรรับตัวไว้สังเกตอาการในโรงหมอ เพื่อติดตามประเมินลักษณะทางสถานพยาบาลต่อเป็นช่วงๆโดยงดเว้นน้ำและอาหาร และไม่ให้ยาปฎิชีวนะ เมื่อลักษณะทางคลินิกระบุแจ้งชัดขึ้นว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบรุนแรง จะได้นำคนไข้ไปทำการผ่าตัดรักษาอย่างทันทีทันควัน
  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกระบุชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน ไม่แตกทะลุ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะอีกทั้งก่อนและก็ข้างหลังผ่าตัด แต่หมอผู้ดูแลอาจไตร่ตรองให้ยายาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดก็ได้ เมื่อผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้ยาต่อ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่สามารถที่จะแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุกระจ่าง นิยมให้ยายาปฏิชีวนะ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด ถ้าเกิดผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่แตกทะลุ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อข้างหลังผ่าตัด แต่ว่าหากพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยายาปฏิชีวนะต่อ
  • ในรายที่การตรวจร่างกายบ่งชี้ว่ามี peritonitis ซึ่งมีสาเหตุมาจากการแตกของไส้ติ่งอักเสบ ในเด็กมักมีลักษณะ generalized peritonitis ส่วนคนแก่จะเป็น pelvic peritonitis ก่อนนำคนป่วยไปทำผ่าตัดควรจะใช้แนวทางรักษาแบบทะนุถนอมให้อยู่ในสภาพที่สมควรสำหรับการให้ยาสลบรวมทั้งการผ่าตัด อย่างเช่นการให้ intravenous fluid ที่เหมาะสมให้พอเพียงซึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ดูว่าคนเจ็บมีเยี่ยวออกดีแล้ว ให้ยาปฎิชีวนะที่สมควร ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายลดลงหากเป็นไข้สูง หากท้องอืดมากควรใส่ nasogastric tube ต่อ suction บางทีอาจใช้เวลาในการจัดแจงคนป่วย 3-4 ชั่วโมงก่อนนำคนป่วยไปผ่าตัด
  • กรณีที่ไส้ติ่งแตกทะลุระหว่างการผ่าตัด หรือไส้ติ่งไม่แตกทะลุ แต่ว่ารุนแรงถึงกับขนาด gangrenous appendicitis แนะนำให้ยาปฏิชีวนะระหว่างการผ่าตัด และก็ต่อเนื่อง 1-3 วันแล้วแต่พยาธิภาวะ
  • ในรายที่มีอาการมานับเป็นเวลาหลายวันและการตรวจร่างกายพบว่ามีก้อนที่ RLQ ที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็น appendiceal phlegmon หรือ abscess ควรจะรักษาโดยวิธีจุนเจือโดยให้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างใหญ่ หากคนป่วยตอบสนองดีต่อการดูแลรักษา ได้แก่ อาการปวดท้อง ก้อนเล็กลง ให้รักษาต่อโดยวิธีทะนุถนอม และนำผู้เจ็บป่วยไปทำ elective appendectomy จากนั้น 6 อาทิตย์ - 3 เดือน แต่ถ้าหากการรักษาด้วยยาปฎิชีวนะดังกล่าวมาแล้วข้างต้นไม่ได้รับการโต้ตอบที่ดีบางทีอาจจึงควรผ่าตัดเลย ถ้าหากพยาธิสภาพรุนแรงมาก อาจทำเพียงแค่ระบายหนอง แม้กระนั้นถ้าหากพยาธิภาวะไม่รุนแรง และก็สามารถตัดไส้ติ่งออกได้เลย ก็ชี้แนะให้ทำ


กลุ่มอาการที่เสี่ยงต่อโรคไส้ติ่งอักเสบ มีลักษณะอาการปวดท้องที่มีลักษณะไม่ราวกับอาการปวดโรคกระเพาะ ท้องเดิน หรือปวดระดู ก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรจะรีบไปพบแพทย์ หากมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

  • ปวดร้ายแรง หรือปวดติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • กดหรือเคาะเจ็บตรงบริเวณที่ปวด
  • คลื่นไส้บ่อย กินอะไรก็ออกหมด
  • มีอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่นหวิว ใจสั่น
  • จับไข้สูง หรือหนาวสั่น
  • ใบหน้าซีดเผือดเหลือง
  • กินยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้นกว่าเดิมหรือกลับร้ายแรงขึ้น
  • คนป่วยที่มีอาการท้องผูกร่วมด้วย หากพบว่ามีลักษณะอาการเจ็บท้องรุนแรงกว่าธรรมดา ก็ห้ามกินยาถ่าย หรือทำสวนทวาร


การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งเจือปนต่างๆทำให้ไส้ติ่งมีการอักเสบติดโรครวมทั้งแตกท้ายที่สุด ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับคนไข้แต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนข้างเคียงแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ  เนื่องมาจากโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน จำต้องไปพบแพทย์โดยทันที ที่ห้องเร่งด่วนของโรงหมอเพื่อทำการผ่าตัดและไม่ควรจะรับประทานยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีลักษณะอาการท้องผูกร่วมด้วย เนื่องจากอาจจะทำให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น

  • การปฏิบัติตัวก่อนที่จะมีการผ่าตัดไส้ติ่ง ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังต่อไปนี้


o    เมื่อมีลักษณะอาการของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบแพทย์คนไข้ต้องงดของกินและก็น้ำดื่มไว้ด้วยเพื่อจัดแจงสำหรับในการผ่าตัดรีบด่วน
o   ในเรื่องที่มีลักษณะอาการปวดท้องแต่ว่าคนไข้ยังไม่รู้ปัจจัย ห้ามกินยาพารา แม้กระนั้นควรจะรีบไปพบหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เนื่องจากยาพาราจะไปบังลักษณะของการปวดทำให้แพทย์แยกโรคได้ตรากตรำ
o  งดการใช้ครีมและก็เครื่องแต่งตัวทุกประเภท แล้วก็ทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อให้แพทย์ดูอาการไม่ดีเหมือนปกติจากการขาดออกสิเจนได้

  • การกระทำตัวหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง ข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง 1 วัน คนป่วยต้องกระทำการลุกจากเตียง เพื่อให้ไส้มีการขยับเขยื้อนเร็วขึ้น งดเว้นอาหารรวมทั้งน้ำหลังผ่าตัดวันแรก ส่วนการดูแลแผลผ่าตัด ห้ามให้ผ้าปิดแผลเปียกน้ำ ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามเกา และก็เวลาไอหรือจามให้ใช้มือพยุงแผลไว้ด้วยเพื่อคุ้มครองแผลที่เย็บแยกออก ถ้าหากถ้าแผลยังไม่แห้งดีอย่าพึ่งอาบน้ำ แต่ว่าให้ใช้ขั้นตอนการเช็ดตัวแทน นอกเหนือจากนี้คือการกินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ย้ำการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ด้วยเหตุว่าจะช่วยให้แผลติดเร็วมากขึ้น นอกจากเป็น การขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งพักให้พอเพียง


การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบ ในทุกวันนี้ยังไม่ทีการศึกษาค้นพบวิธีคุ้มครองอาการไส้ติ่งอักเสบ ด้วยเหตุว่าไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการรุนแรงที่ไม่สามารถที่จะหาต้นสายปลายเหตุที่แจ่มแจ้งได้ แม้กระนั้นมีข้อสังเกตว่า สามัญชนที่นิยมทานอาหารพวกผักผลไม้มากมาย (ยกตัวอย่างเช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่กินผักและผลไม้น้อย (ตัวอย่างเช่น ชาวตะวันตก) จึงมีการเสนอแนะให้บากบั่นรับประทานผลไม้และก็รับประทานผักให้มากๆทุกวี่วัน ซึ่งมีผลดีต่อการป้องกันโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และยังเชื่อว่าบางทีอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และก็โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นมีการเล่าเรียนที่พบว่า สภาวะท้องผูกมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าคนป่วยไส้ติ่งอักเสบจะมีจำนวนครั้งสำหรับในการขี้ต่อสัปดาห์น้อยกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมทั้งยังพบว่า ผู้เจ็บป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และก็มะเร็งลำไส้ตรงมักจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเอามาก่อน อีกทั้งยังมีผลการเรียนรู้หลายงานที่พบว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนสำหรับในการก่อให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/บรรเทาโรคไส้ติ่งอักเสบ เพราะการดูแลรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบต้องรักษาด้วยการใช้การผ่าตัดเพียงแค่นั้นและก็ในขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าสมุนไพรประเภทไหนที่จะช่วยป้องกันหรือ บรรเทา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมถึงยังไม่มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยชิ้นไหนที่แถลงการณ์ว่าสมุนไพรจำพวกไหนสามารถช่วยคุ้มครองหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้
เอกสารอ้างอิง

  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป     หน้า 525-527.
  • Fitz RH (1886). "Perforating inflammation of the vermiform appendix with special reference to its early diagnosis and treatment". Am J Med Sci(92): 321–46.(อังกฤษ)
  • ไส้ติ่งอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • Adamis D, Roma-Giannikou E, Karamolegou K (2000). "Fiber intake and childhood appendicitis". Int J Food Sci Nutr51: 153–7. (อังกฤษ)
  • รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ไส้ติ่งอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่301.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2547
  • SCHWARTZ, Principle of Surgery , McGRAW HILL
  • Wangensteen OH, Bowers WF (1937). "Significance of the obstructive factor in the genesis of acute appendicitis". Arch Surg34: 496–526. (อังกฤษ)
  • โรคไส้ติ่งอักเสบ(APPENDICITIS).แนวทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางศัลยกรรม.ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.


 

Sitemap 1 2 3