ผู้เขียน หัวข้อ: ระบบ RFID : Radio Frequency Identification  (อ่าน 257 ครั้ง)

damonshoppu

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 72
    • ดูรายละเอียด
ระบบ RFID : Radio Frequency Identification
« เมื่อ: เมษายน 09, 2018, 05:31:05 am »
RFID เป็นยังไง?
 
RFID เป็นอักษรย่อมาจาก Radio Frequency Identification เป็นเทคโนโลยีแสดงตนแบบอาศัยคลื่นสัญญาณวิทยุในการสื่อสาร โดยหลักการทำงาน ใช้สำหรับในการแสดงตัวตนเหมือนบาร์โค้ด แต่ RFID สามารถอ่านข้อมูลได้จำนวนมาก เมื่อมี RFID Tag อยู่บริเวณที่สัญญาณวิทยุสามารถส่งข้อมูลถึง โดยองค์ประกอบหลักของระบบ RFID จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
 
1. RFID Tag
2. RFID Reader/Writer
3. RFID Software

 
RFID (Radio Frequency Identification)
 
เป็นระบบชี้เฉพาะอัตโนมัติ Auto-ID แบบไร้สาย (Wireless) ที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ ซึ่งเป็นวิธีการกำหนดเอกลักษณ์วัตถุ หรือตัวบุคคลโดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างเช่น บาร์โค้ดที่อาศัยคลื่นแสง หรือการสแกนลายนิ้วมือ เป็นต้น ซึ่งมีขีดความสามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูล RFID โดยที่อุปกรณ์ RFID ที่มีการประดิษฐ์ขึ้นใช้งานเป็นครั้งแรกนั้น ในปี คริสต์ศักราช 1945 ซึ่งอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมานั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องมือดักจับสัญญาณของเครื่องบินเพื่อจำแนกฝ่ายมิตรและศัตรู มิได้ทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดเอกลักษณ์วัตถุอย่างที่ใช้งานกันอยู่ในตอนนี้
 
โดยจุดเด่นของ RFID คือ เป็นความสามารถสำหรับในการอ่านข้อมูลของฉลากได้โดยที่ไม่ต้องมีการสัมผัส สามารถอ่านค่าได้ถูกต้องในภาวะที่ทัศนวิสัยไม่ดี ทนต่อความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก แล้วก็สามารถอ่านอ่านข้อมูลได้ด้วยความเร็ว
 
เทคโนโลยี RFID เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล่าสุดของโลก
 
หลายประเทศในโลก สนใจรวมทั้งตื่นตัวกับเทคโนโลยี RFID จึงมีนโยบายสนับสนุนการใช้ RFID อย่างจริงจัง ปัจจุบันเทคโนโลยี RFID เริ่มเข้ามามีความจำเป็นกับเราในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้นในรูปแบบการใช้งานต่างๆ กันตามแต่คิดจะประยุกต์ใช้งานได้ อาทิเช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน บัตรบุคลากร กุญแจรถยนต์ (Electronics Immobilization) ในแวดวงอุตสาหกรรมในส่วนของการผลิตเพื่อ Track and Trace ระบบบันทึกข้อมูลการจัดการสินค้าระหว่างการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้า การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) การจัดการจัดแจงผลิตภัณฑ์คงคลัง รวมทั้งการกระจายผลิตภัณฑ์ ระบบการขนส่ง การติดตามตู้ผลิตภัณฑ์ระหว่างการขนส่ง (e-Seal) การนำมาปรับใช้งานสำหรับการตรวจสอบย้อนกลับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรวมทั้งลดเงินลงทุนสำหรับการตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Traceability) ซึ่งวิวัฒนาการของเทคโนโลยี RFID ในตอนนี้แล้วก็อนาคตนั้นมีศักยภาพรวมทั้งปัจจัยเอื้ออำนวยอื่นๆ ทำให้พวกเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าเทคโนโลยีนี้จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการธุรกิจรูปแบบใหม่ รวมทั้งอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก ซึ่งจะมีส่วนสำหรับการเปลี่ยนโฉมของสังคมเข้าสู่สังคมสารสนเทศของประเทศไทย
 
องค์ประกอบหลักของ RFID
 
ประกอบไปด้วย 2 ส่วน

1. Transponder ตัวจัดเก็บและส่งข้อมูล ซึ่งมาจากคำว่า Transmitter ผสมกับคำว่า Responder ที่อยู่ในรูปแบบของฉลาก หรือ ป้าย โดยฉลากนี้จะทำการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุชิ้นนั้นเอาไว้ โดยเราเรียกทั่วไปว่า Tag ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณหรือข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแท็กตอบสนอกไปที่ตัวอ่านข้อมูล
2.Reader อุปการณ์สำหรับอ่านหรือเขียนข้อมูลภายในแท็ก
ส่วนประกอบของระบบ RFID
 
จะประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วนหลักด้วยกันคือ

1. ส่วนควบคุม (Controller) ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นส่วนที่แยกออกมาจากส่วนอื่นๆ แต่ก็มีบางแบบเช่นกันที่ประกอบติดกับหัวอ่านและเขียนพร้อมกับ PDA เป็นต้น
2. หัวอ่านและเขียน (Antenna) ซึ่งมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น มีลักษณเป็นจาน, เป็นปากกา หรืออาจจะเป็นแบบมือถือ (Hand Held) ที่ประกอบกับ PDA พร้อมด้วยแป้นพิมพ์ (Key Pad) ขนาดเล็กๆในตัวใช้สำหรับงาน Logistic เป็นต้น
3. Tag ซึ่งมีหลายรูปแบบเช่น เป็นบัตร, เป็นแผ่น, เป็นเหรียญ หรือ เป็นกระดุม เป็นต้น นอกจากนี้ Tag ยังมีชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับงานที่ต้องทนกับอุณหภูมิสูงๆ หรืองานที่ต้องติดตั้งกับโครงเหล็ก อีกด้วย นอกจากนี้ Tag ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
3.1 Passive Tag เป็น Tag ที่ไม่มี Battery เลี้ยง
3.2 Active Tag เป็น Tag ที่มี Battery เลี้ยง
เทียบ RFID กับ Barcode
 

 
RFID และ Barcode มีความคล้ายกันในการที่ ทั้งคู่เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ ในกระบวนการของการเก็บรวบรวมข้อมูล อย่างไรก็แล้วแต่ยังมีความไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญในหลายที่ ถึงแม้การเทียบนี้ส่วนมากเน้นไปที่ประโยชน์ของ RFID กว่า Barcode, RFID จะไม่แทนที่เทคโนโลยี Barcode โดย Barcode มีข้อเด่นกว่า RFID ที่สำคัญที่สุดคือค่าใช้จ่ายน้อยกว่า RFID
 
1. มี ความละเอียด และสามารถบรรจุข้อมูลได้มากกว่า ซึ่งทำให้สามารถแยกความแตกต่างของสินค้าแต่ละ ชิ้นแม้จะเป็น SKU (Stock Keeping Unit – ชนิดสินค้า) เดียวกันก็ตาม
2. ความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแถบ RFID เร็วกว่าการอ่านข้อมูลจากแถบบาร์โค้ดหลายสิบเท่า
3. สามารถอ่านข้อมูลได้พร้อมกันหลาย ๆ แถบ RFID
4. สามารถส่งข้อมูลไปยังเครื่องรับได้โดยไม่จำเป็นต้องนำไปจ่อในมุมที่เหมาะสมอย่างการใช้เครื่องอ่านบาร์โค้ด (Non-Line of Sight)
5. ค่า เฉลี่ยของความถูกต้องของการอ่านข้อมูลด้วยเทคโนโลยี RFID นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 99.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ความถูกต้องของการอ่านข้อมูลด้วยระบบบาร์โค้ดอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์
6. สามารถ เขียนทับข้อมูลได้ จึงทำให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ซึ่งจะลดต้นทุนของการผลิตป้ายสินค้า ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5% ของรายรับของบริษัท
7. สามารถขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการอ่านข้อมูลซ้ำที่อาจเกิดขึ้นจากระบบบาร์โค้ด
8. ความเสียหายของป้ายชื่อ (Tag) น้อยกว่าเนื่องจากไม่จำเป็นต้องติดไว้ภายนอกบรรจุภัณฑ์
9. ระบบความปลอดภัยสูงกว่า ยากต่อการปลอมแปลงและลอกเลียนแบบ
10. ทนทานต่อความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก
ประโยชน์ของเทคโนโลยี RFID
 
- เพิ่มการแสดงผลภายในห่วงโซ่อุปทาน
- ต้นทุนการดำเนินงานลดลง
- เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
- ลดการแทรกแซงของมนุษย์
- ลดเงินทุนหมุนเวียน
- ลดการขาดสต็อก
- ต้นทุนการดำเนินงานลดลง
- การประมวลผลข้อมูลเรียลไทม์
- เข้าถึงได้ในที่ ที่มองไม่เห็น
 
ติดต่อ - ระบบ RFID
รับโปรโมทเว็บ

 

Sitemap 1 2 3