ผู้เขียน หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 251 ครั้ง)

Chaiworn998

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2200
    • ดูรายละเอียด

โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก เป็นอย่างไร  ก่อนที่จะทราบถึงความหมายของต้อกระจกนั้น พวกเราควรจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่เราเรียกกันภาษาประชาชนว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่หลังม่านตา (มีลักษณะเสมือนเลนส์นูนทั่วไปทั้งด้าน หน้าและก็ด้านหลัง มีความดกราวๆ 5 มัธยมม. เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 ม.มัธยม มีหน้าที่ทำงานร่วมกับกระจกตาในการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกโฟกัสที่หน้าจอประสาทตา ที่นำมาซึ่งการมองมองเห็น
นอกจากนั้นแก้วตายังสามารถแปลงกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น มันก็คือ ในคนปกติจะเห็นชัดทั้งไกลและก็ใกล้ ด้วยเหตุดังกล่าวธรรมชาติจึงสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายใดๆก็ตามแต่ถึงแม้แก้วตาจะมิได้รับอันตรายใดๆก็ตามจากด้านนอก แต่ก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสื่อมสภาพจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือการเช็ดกสาเหตุที่จะเร่งทำให้มีการเกิดความเสื่อมโทรมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุกระตุ้นให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ เป็นต้นว่า ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ฯลฯ สำหรับต้อกระจกนี้
เริ่มแรกต้องขอให้คำนิยาม หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” เสียก่อน ต้อกระจกหมายถึงภาวะที่เลนส์ภายในดวงตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเนื่องจากสาเหตุอะไรก็ได้ ตามเดิมแล้วเลนส์ภายในดวงตามีสภาวะใสโปร่งแสงเหมือนกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้เราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้แน่ชัด แล้วก็เมื่อเกิด “ต้อกระจก” ก็จะมีผลให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านไปสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้แน่ชัด ผู้นั้นก็เลยมองดูอะไรไม่ชัด ตาฝ้า มัว แล้วในที่สุดถ้าเกิดขาวขุ่นมากยิ่งขึ้น จะมืดรวมทั้ง มองดูอะไรมองไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบมากสำหรับคนสูงอายุ แม้ปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด ถือว่าเป็นต้นสายปลายเหตุอันดับต้นๆของภาวการณ์สายตาทุพพลภาพของคนสูงอายุ
สาเหตุของโรคต้อกระจก โดยส่วนมาก (ราวปริมาณร้อยละ 80) เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากภาวการณ์เสื่อมตามวัย ผู้ที่แก่มากยิ่งกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แต่ว่าอาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนวัยชรา (senile cataract)  ส่วนน้อย (ราวปริมาณร้อยละ 20) อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากสาเหตุอื่นๆอย่างเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กแรกเกิดสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ตอนแรกเกิด โดยอาจกำเนิดได้จากพันธุกรรม การติดเชื้อ การได้รับอันตรายหรือมีความก้าวหน้าระหว่างอยู่ในท้องไม่ดี เด็กแรกคลอดที่ศึกษาค้นพบว่าเป็นต้อกระจกแต่กำเนิด อาทิเช่น สภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนปมจำพวกที่ 2 ก็อาจทำให้เกิดการเกิดต้อกระจกประเภทนี้ เด็กตัวเล็กๆบางบุคคลอาจแสดงอาการในภายหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง บางทีต้อกระจกนี้เล็กมากมายจนถึงไม่ส่งผลต่อการมองมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่าทำให้เกิดผลกระทบต่อการมองมองเห็นจึงจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาประเภทอื่นอาทิเช่นต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกจากนี้ คนป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ยาขับฉี่บางตัว ก็นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นเดียวกัน มีต้นเหตุที่เกิดจากสภาวะแรงกระแทกที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเขพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ทันทีภายใน 24 ชั่วโมง หรือถ้าหากโดนวัตถุไม่มีคมกระแทก ก็อาจจะเกิดต้อกระจกตามมาคราวหลังได้ ถ้าหากความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาบาดหมาง มีเหตุที่เกิดจากโดนรังสีเอกซเรย์ รอบๆดวงตาอยู่เป็นประจำๆดังเช่น พวกที่มีมะเร็งบริเวณเบ้าตา แล้วก็รักษาด้วยรังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ และก็เกิดต้อกระจกตามมา  นอกเหนือจากปัจจัยต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอิทธิพลมาจากอันอื่นได้ อาทิเช่น อาหารพวกที่มีภาวะทุโภชนา หรือพวกของกินไม่ถูกสุขอนามัย ขาดโปรตีน และวิตามินส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าธรรมดา
อาการโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะพินิจได้ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่าอาการของต้อกระจกจะมากขึ้นจนกระทั่งกระทบต่อการมองมองเห็น โดยคนไข้มักมีอาการดังต่อไปนี้

  • อาการเด่นของต้อกระจกคือ ตาค่อยๆมัวลงอย่างช้าๆโดยไม่มีลักษณะการเจ็บปวด หรือ ตาแดงอะไร อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงสว่างจ้า อาทิเช่น เมื่อออกแดด กลับมองเห็นเกือบจะปกติในที่มืดมัวๆหรือเวลาพลบค่ำ เพราะเหตุว่าเมื่ออยู่ในที่แจ้งม่านตาจะหดแคบลง ทำให้แสงสว่างที่จะเข้าตาเข้ายากขึ้น ตรงกันข้ามกับเมื่ออยู่ในที่มืด ซึ่งม่านตาจะขยายทำให้แสงเข้าตาได้มากขึ้น ก็เลยเห็นได้ชัดขึ้นในที่มืด
  • ในคนวัยแก่เวลาอ่านหนังสือจำเป็นต้องใช้แว่นสายตาช่วยปกติอยู่แล้ว แม้กระนั้นอยู่ๆกับพบว่าอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น นั่นเป็นด้วยเหตุว่าอาการจากเริ่มมีการเสื่อมของแก้วตาทำให้การเบี่ยงเบนแสงสว่างเปลี่ยน ก็เลยกลับมาเป็นคนสายตาสั้นเมื่อแก่ (Secondary myopia)
  • ในเด็กๆที่เป็นต้อกระจกอาจจะพูดหรือบอกไม่ได้ถึงการมองมองเห็นก็แค่จะสังเกตได้ว่าเด็กจะมองดู จับหรือเล่นของเล่นเด็กไม่ถนัด ตาอาจแกว่งไปๆมาๆ หรือเฉไปทางไปทางใดทางหนึ่งได้
  • เห็นภาพซ้อน หรือ เห็นแสงสว่างกระจาย
  • เห็นภาพเป็นสีเหลืองหรือซีดเซียวจางลงกว่าที่สายตาคนธรรมดามองเห็น
  • จำเป็นต้องใช้แสงสว่างเยอะขึ้นเรื่อยๆสำหรับเพื่อการอ่านหนังสือหรือกิจกรรมที่จะต้องใช้สายตา
ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก

  • เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะทำให้ตาบอดสนิท
  • ในบางรายแก้วตาอาจบวมหรือเลยไปอุดกั้นทางระบายของเหลวในดวงตา ทำให้มีการเกิดความดันภายในดวงตาสูงขึ้น จนเปลี่ยนเป็นต้อหินได้
  • ผู้เจ็บป่วยจะสามารถมีลักษณะปวดตาอย่างหนักได้


วิธีการรักษาโรคต้อกระจก แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นด้วยการตรวจเจอแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาคนเจ็บจะรู้สึกตาพร่า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่พบปฏิกิริยาย้อนกลับสีแดง (red reflex)
แม้ยังไม่แน่ใจ แพทย์จำเป็นต้องใช้วัสดุพิเศษตรวจให้ละเอียด อาจจะต้องวัดความดันลูกตา (เพื่อแยกออกจากโรคต้อหินที่จะเจอความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) และตรวจพิเศษอื่นๆอย่างเช่น

  • การตรวจวัดสายตา (Visual Acuity Test) การประเมินความรู้ความเข้าใจการมองมองเห็นในระยะต่างๆโดยให้อ่านชุดตัวเขียน เมื่อทดลองตาข้างอะไรก็ตามอีกข้างจะถูกปิดไว้ แนวทางแบบนี้เป็นการประเมินว่าคนป่วยมีความผิดธรรมดาทางสายตาให้เห็นหรือไม่
  • การทดลองโดยขยายรูม่านตา (Retinal Eye Exam) ทำได้ด้วยการหยดยาลงที่ตาเพื่อให้รูม่านตาเปิดกว้างขึ้น แล้วใช้เลนส์ขยายแบบพิเศษตรวจทานจอประสาทตาแล้วก็เส้นประสาทตาเพื่อใส่ความผิดปกติของตา หลังการตรวจนี้ ดวงตาของคนเจ็บแลเห็นในระยะใกล้พร่ามัวตรงเวลาหลายชั่วโมง
  • การตรวจโดยใช้กล้องถ่ายภาพจักษุจุลทรรศน์ชนิดลำแสงแคบ (Slit Lamp Examination) ได้แก่การใช้กล้องที่มีความเข้มของลำแสงสูงและก็บางพอที่จะส่องกระจกตา ม่านตา เลนส์แก้วตา รวมถึงพื้นที่ว่างระหว่างม่านตาและกระจกตา ช่วยทำให้แพทย์สามารถมองเห็นองค์ประกอบที่เป็นส่วนเล็กได้อย่างสะดวก


เนื่องมาจากโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยแก้ลักษณะของต้อกระจกได้ ระยะแรกๆของโรคต้อกระจกสามารถทุเลาได้ด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ สวมแว่นดำกันแสงสะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายตราบจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำการผ่าตัด ในสมัยก่อนมักคอยให้ต้อกระจกสุกก็เลยทำผ่าตัดแปลงเลนส์ แต่ปัจจุบันนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแม้กระนั้นเนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำรงชีวิตของผู้ป่วยก็ควรรับการรักษา เนื่องจากว่าการรอต้อกระจกสุก จะก่อให้การดูแลรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจจะทำให้เกิดโรคตาอื่นแทรก เช่น ต้อหิน ซึ่งอาจก่อให้ได้รับอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆได้
ในตอนนี้การดูแลและรักษาต้อกระจกมีเพียงวิธีเดียวหมายถึงการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในตอนนี้การผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับเพื่อการผ่าตัดไม่นาน และไม่จึงควรนอนโรงพยาบาลข้างหลังผ่าตัด
กรรมวิธีการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 วิธี

  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เฟมโตเชคเคินเลเซอร์ (Femtosecond Laser assisted Cataract Surgery)
  • การผ่าตัดนำเลนส์ตาออกทั้งยังก้อน (Extracapsular cataract extraction) ซึ่งแนวทางลักษณะนี้ใช้ในกรณีที่เลนส์ตาค้างมากๆ

เหตุที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคต้อกระจก

  • อายุ – เป็นสาเหตุหลักจำนวนมากที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคต้อกระจกมากกว่า 80% โดยเฉพาะในคนแก่กว่า 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากากรเสื่อมตามวัย เนื่องจากว่าเลนส์ที่อยู่ในตาพวกเรานั้นจะต้องถูกใช้งานรับแสงมานานพอๆกับอายุของตัวเราก็เลยมีการสลายตัวได้
  • แสง UV – การทำงานบางชนิดโดยไม่ใส่หน้ากากปกป้องแสงหรือรังสีเข้าตา เป็นต้นว่าเวลาเชื่อมเหล็ก ก็สามารถทใด้เกิดโรคต้อกระจกได้
  • โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับตา – การติดเชื้อในตา ม่านตาอักเสบ ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งของโรคต้อกระจก
  • การเช็ดกกระทบกระแทกรอบๆตาอย่างหนัก
  • โรคประจำตัวบางประเภทเช่น เบาหวาน ที่ทำให้เป็นโรคต้อกระจกเร็ววกว่าปกติ
  • การทานยาประเภท ateroid
  • เด็กอ่อนที่ติดโรคจาก มีแม่มีการติดเชื้อโรคเหือดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งท้อง


การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกเกิดขึ้นจากเลนส์ตาหรือแก้วตา หมดสภาพจากนานาประการต้นสายปลายเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงสำเร็จให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย จึงส่งผลให้เกิดการมองเห็นภาพฝ้ามัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไม่เห็นสุดท้าย ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

  • ถนอมสายตาด้วยการสวมใส่แว่นตาดำเลี่ยงการโดนแสงอาทิตย์แรง
  • เข้ารับการตรวจรักษาจากจักษุแพทย์แต่เนิ่นๆเพื่อจะได้ทำกรรักษาได้อย่างทันการไม่ให้อาการไม่ดีขึ้นกระทั่งไม่สามารถรักษาได้
  • กระทำตามแพทย์สั่งและไปตรวจตามนัดอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง หมั่นบริหารร่างกาย พักผ่อนให้พอเพียง รับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบทั้ง 5 กลุ่ม
  • ภายหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเลนส์ตาแล้วคนป่วยควรจะนอนพักให้มากที่สุด และก็ลุกขึ้นเดินเท่าที่มีความจำเป็นเท่านั้นและควรจะหลบหลีกการทำงานหนัก การชูของหนักหรือสะเทือนมาก การบริหารร่างกายอย่างหนัก รวมถึงการไอหรือจามแรงๆเป็นเวลาราว 2-3 อาทิตย์ หรือจวบจนกระทั่งแผลจะหายดี
การป้องกันตนเองจากโรคต้อกระจก

  • ควรสวมแว่นตากันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ปกป้องแสงสว่าง UV ที่เป็นต้นสายปลายเหตุกระตุ้น
  • ควรจะพบจักษุแพทย์เมื่อมีลักษณะอาการแตกต่างจากปกติทางตาและไม่ควรจะซื้อยาหยอดตามาใช้เอง โดยเฉพาะยาที่มีส่วนประกอบของ Steroids
  • ตรวจสุขภาพตาเสมอๆทุกปี ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือ เมื่อท่านมีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • คนป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลบให้อยู่ในระดับธรรมดา
  • หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุกับดวงตา หรือใส่เครื่องป้องกันเวลาทำงานที่เสี่ยงตอกาเกลื่อนกลาดระทบกระแทกดวงตา
  • เมื่อมีการใช้สายตาติดต่อกันนาน ควรมีการพักสายตา
  • ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีวิตามิน และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีในผักแล้วก็ผลไม้หลากสี เป็นต้นว่า มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง กล้วย ผลไม้เครือญาติเบอรี่
  • หลบหลีกการสูบยาสูบ รวมทั้งดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก  จากการเรียนรู้ค้นคว้าข้อมูลงานศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่า สมุนไพรไทยหลายอย่างสามารถป้องกันโรคต้อกระจกได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน แล้วก็ฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญหมายถึงเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) และอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่หลากหลายประเภท เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆรวมถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและก็โปรตีน ฯลฯ โดยเหตุนี้ ขมิ้นชันจึงมีคุณประโยชน์สำหรับการช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แล้วก็สามารถรักษาอาการรวมทั้งโรคต่างๆได้หลายอย่าง
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านทานอนุมูลอิสระสำคัญ คือ ไลโคปีนป่าย (lycopene) โดยในเยื่อหุ้มห่อเม็ดของฟักข้าวมีไลโคพีนสูงกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ซึ่งสามารถช่วยสำหรับการบำรุงและรักษาสายตา ปกป้องโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก แล้วก็ประสาทตาเสื่อม รวมทั้งตาบอดตอนค่ำได้ ทั้งยัง ยังมีการค้นคว้าวิจัยพบว่า ไลโคปีนป่ายและเคอร์คิวไม่นอยด์ ยังช่วยคุ้มครองต้อกระจกที่เกิดขึ้นมาจากเบาหวานได้อีกด้วยนอกนั้นยังมีสมุนไพรอีกหลายอย่างซึ่งสามารถคุ้มครองป้องกันโรคต้อกระจกได้ อย่างเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีบทบาทสำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา นอกเหนือจากมะขามป้อมแล้ว ยังส่งผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า ฯลฯ นอกจากสมุนไพรพงไพรแล้ว สมุนไพรต่างชาติที่มีการสรรพคุณบำรุงและปกป้องโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาได้เป็นอย่างดี ดังเช่นว่า
Ginseng หรือโสม คือรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญเป็น ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายอย่าง ดังเช่นว่า antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดสอบทางคลินิกในคนป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเรตินา ก็เลยน่าจะเป็นประโยชน์ในลักษณะการปกป้องคุ้มครองโรคต้อหิน นอกจากนั้นสาร Rb1 และก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha จึงน่าจะเป็นผลดีสำหรับการคุ้มครองป้องกันโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เพราะว่าการอักเสบเป็นต้นเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดสอบในหนูแสดงว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของจอตาในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ เพราะฉะนั้นโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าสนใจในการปกป้องโรคตา 4หมายถึงโรคต้อหิน ต้อกระจก หน้าจอประสาทตาเสื่อม แล้วก็ภาวะโรคเบาหวานขึ้นเรตินา
Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกรุ๊ปคือ เฟลโอ้อวดนอยด์และก็เทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปแล้วก็อเมริกามีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ แล้วก็ปกป้อง lipid peroxidation จากการทดลองพบว่า GBE สามารถปกป้องการเสื่อมของ mitochondria ปกป้องการเสื่อมของ optic nerve จึงสามารถป้องกันตาบอดในคนเจ็บโรคต้อหิน และ ผู้เจ็บป่วยจอตาเสื่อมได้ และสามารถลดการหลุดของเรตินา (retinal detachment) ได้ GBE จึงมีสาระในกรณีคุ้มครองรวมทั้งรักษาโรคต้อหินแล้วก็โรคที่เกี่ยวโยงกับเรตินา
Danshen ชื่อสามัญคือ Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้เป็นราก ในตำราเรียนยาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ใช้รักษาฝี สารสำคัญคือ salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงและยังมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในคนที่เป็นโรคเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบและก็ดกขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถถูกกำจัดออกไปได้ก็เลยไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดสอบฉีดตังเซียมเข้าไปที่เนื้อเยื่อเรตินาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นโรคเบาหวานพบว่าสามารถป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ การทดสอบทางสถานพยาบาลในคนไข้โรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถคงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้ป่วยระยะกลางและระยะปลายได้ ด้วยเหตุนั้น ตังเซียมจึงมีสาระกับคนป่วยโรคตาที่เกี่ยวกับ oxidative stress อาทิเช่น จอประสาทตาเสื่อม ภาวะโรคเบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก แล้วก็มีรายงานการศึกษาวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) ผู้ตัดสินเกษตรอเมริกาพบว่า คนประเทศอเมริกาที่รับประทานผลไม้และก็รับประทานผักบ่อยๆได้โอกาสเกิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักและผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง และก็คนที่ไม่รับประทานผักและก็ผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเพิ่มมากขึ้นถึง 6 เท่า นอกนั้นยังพบว่าผู้ที่หรูหราวิตามินซีในเลือดต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่หรูหราสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีการเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง

  • โรคต่อกระจก.แผ่นพับประชาสัมพันธ์.หน่วยตรวจโรคจักษุฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช.2560.
  • ต้อกระจก (Cataract) . บทความเผยแพร่.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • นพ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่70.คอลัมน์โรคตา.กุมภาพันธ์2529
  • Sastre J, Lloret A, Borris C et al, Ginkgo biloba extract EGb 761 protects against mitochondrial aging in the brain and in the liver, Cell and Molecular Biology, 2002;48(6):685-692.
  • รศ.ดร.ภญ.อ้อมบุญ วัลลิสุต สมุนไพรและสารธรรมชาติบำรุงตา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • ต้อกรระจก-อาการ.สาเหตุ.การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ต้อกระจก (Cataract)” .(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า950-952.
  • Kim NR, KimJH, and Kim CY, Effect of Korean red ginseng supplementation on ocular blood flow in patients with glaucoma, Journal of Ginseng Research, 2010;34(3);237- 245.
  • Janssens D, Delaive E, Remacle J, and Michiels C, Protection by bilobalide of the ischaemia-induced alterations of the mitochondrial respiratory activity, Fundamental and Clinical Pharmacology, 2000;14(3):193-201.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์2553
  • Cho JY, Yoo ES, Baik KU, Park MH, and Han BH, In vitro inhibitory effect of protopanaxadiol ginsenosides on tumor necrosis factor (TNF)-alpha production and its modulation by known TNF-a antagonists, Planta Medica, 2001;67(3):213-218.
  • ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงค์กิตติรักษ์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่390.คอลัมน์รักษ์”ดวงตา”.ตุลาคม.2554
  • Sen S, Chen S, Wu Y, Feng B, Lui EK, and Chakrabarti S, Preventive effects of North American ginseng (Panax quinquefolius) on diabetic retinopathy and cardiomyopathy, Phytotherapy Research, 2012;27(2):290-298.
  • Wu ZZ, Jiang JY, Yi YM, and Xia MT, Radix Salvia miltiorrhizae in middle and late stage glaucoma, Chinese Medical Journal, 1983;96(6):445-447.
  • Zhang L, Dai SZ, Nie XD, Zhu L, Xing F, and Wang LY, Effect of Salvia miltiorrhiza on retinopathy, Asian Pacific Journal of Tropical Medicine, 2013;6(2):145-149.
  • Lee SM, Sun JM, Jeong JH et al, Analysis of the effective fraction of sun ginseng extract in selenite induced cataract rat model, Journal of the Korean Ophthalmological Society, 2010;51:733-739.
  • Chen Y, Lin S, Ku H et al, Salvianolic acid B attenuates VCAM-1 and ICAM-1 expression in TNF-alpha-treated human aortic endothelial cells, Journal of Cellular Biochemistry,2001;82(3):512-521.


 

Sitemap 1 2 3