ผู้เขียน หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 343 ครั้ง)

Treekaesorn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2253
    • ดูรายละเอียด

กลุ่มบุคคลคนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค

  • ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ที่พบมากเป็นคนป่วยเอดส์ (มีโอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงจำนวนร้อยละ 50 หรือมากกว่าปริมาณร้อยละ 10 ต่อปี) โรคเบาหวาน ไตวาย ผู้ที่รับประทานยาสตีรอยด์นานๆหรือใช้ยาเคมีบำบัดรักษา ผู้เจ็บป่วยติดเชื้อบางชนิด (ดังเช่นว่า ฝึกฝน โรคไอกรน ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น) ผู้ที่ตรากตรำงานหนักหรือมีความตึงเครียดสูง
  • ผู้ติดสิ่งเสพติดหรือแอลกอฮอล์
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ไม่ได้รับอาหาร คนจรจัด
  • ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด การถ่ายเทอากาศไม่ดี อาทิเช่น คุก ศูนย์ย้ายถิ่น เป็นต้น
  • คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้เจ็บป่วยเป็นระยะช้านาน ดังเช่นว่า สมาชิกในบ้านคนไข้ เพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันพัก หรือห้องทำงาน
  • พนักงานสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลคนไข้
  • คนสูงอายุ (เจออุบัติการณ์สูงในกลุ่มวัยมากยิ่งกว่า 65 ปี)
  • ทารกแรกเกิด


กระบวนการรักษาวัณโรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งส่วนใดมักไม่มีอาการแสดงที่ชัดแจ้ง การวินิจฉัยก็เลยจำเป็นจะต้องใช้หลักฐานหลายชนิดประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง ยกตัวอย่างเช่น ไข้ต่ำๆไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เฉพาะ คนไข้มีอาการเป็นไข้และก็ไอนานเกิน 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงหลักการทำงานของปอดเวลาที่หายใจ
แล้วต่อจากนั้นหมอบางทีอาจกระทำตรวจเบื้องต้นด้วยแนวทางตรวจคัดกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้แนวทางของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิต้านทานของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 อาทิตย์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะกระทำการฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังรอบๆท้องแขน ต่อจากนั้นโดยประมาณ 48-72 ชั่วโมง จำต้องกลับมาให้แพทย์หรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มิลลิเมตร แปลว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อ (ได้ผลลบ) แต่ว่าถ้าเกิดรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มม.ขึ้นไป แสดงว่าบุคคลน่าจะติดเชื้อโรควัณโรค (ให้ผลบวก) และจะต้องกระทำตรวจอื่นๆ
ทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดดังเช่น เจอการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย รับรองการวิเคราะห์ โดยจะเก็บเสมหะช่วงเวลาเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันต่อเนื่องกัน จะรู้ผลด้านในราว 30 นาที แม้กระนั้นมีข้อเสียเป็น วิธีการแบบนี้ได้โอกาสตรวจเจอเชื้อวัณโรคได้เพียงแต่ราวๆครึ่งเดียวของคนป่วย แค่นั้น โดยเหตุนี้คนเจ็บที่ตรวจไม่เจอเชื้อวัณโรคในเสลดก็ยังบางทีอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสลด คุณลักษณะเด่นคือ วิธีการแบบนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้สูงถึง 80 - 90% ของผู้ป่วย แม้กระนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาราวๆสองเดือนก็เลยทราบผล
เมื่อหมอวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคปอด หมอจะให้ยารักษาวัณโรค โดยทั่วไปจะนิยมใช้สูตรยากิน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 ชนิด เช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราซิท้องนาไมด์ (pyrazinamide) และก็อีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายอาจใช้ สเตรปโตไมซินจำพวกฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท เช่น ไอเอ็นเอช และไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
    แพทย์จะย้ำเตือนให้คนป่วยรับประทานยาให้ตามกำหนดทุกวี่วัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้พี่น้องช่วยดูแลให้คนป่วยรับประทานยาได้บ่อย ไม่งั้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้เรื่อง หรือต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น    ส่วนคนไข้ที่เป็นเอดส์ร่วมกับวัณโรคปอด เว้นเสียแต่ให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสเอดส์แล้ว ยังจะต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนสูตรยาที่แตกต่างกันออกไป) เป็นเวลานาน 9 เดือน
    แพทย์จะนัดคนเจ็บมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยปกติเมื่อใช้ยาได้ 2 สัปดาห์ ลักษณะของการมีไข้และก็ไอจะเริ่มดีขึ้นกว่าเดิม ทานข้าวได้ รวมทั้งน้ำหนักขึ้น
    แพทย์จะทำการตรวจเสมหะ (มองว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นระยะๆได้แก่ เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน แล้วก็เมื่อจบการใช้ยารักษา ยิ่งไปกว่านี้บางทีอาจกระทำเอกซเรย์ปอดมองว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
    ส่วนคนที่เป็นกรุ๊ปเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ เป็นต้นว่า คนป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์บ่อยๆ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อรับประทานยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจก่อให้ตับอักเสบได้ หมอจะทำการตรวจเลือดมองระดับเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เพื่อมองว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทยหมายถึงการเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การรักษาหายสนิทเป็นได้ยากขึ้น และบางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกถึงชีวิตได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานยาที่ไม่สม่ำเสมอของคนไข้สาเหตุจากปัญหาหลายอย่าง ดังเช่นว่า การที่ต้องกินยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (ขั้นต่ำ 6 เดือน) ทำให้คนเจ็บที่มีลักษณะดีขึ้นเล็กน้อยหยุดยาหรือไม่มีตามนัด หรือในรายที่อาจทนผลข้างเคียงของยาไม่ได้จึงหยุดยาเอง เป็นต้น
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ไปได้ทางอากาศ จากผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคปอดแล้วก็กล่องเสียง การตำหนิดเชื้อเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของผู้เจ็บป่วย ซึ่งมีสาเหตุจากการไอหรือจาม บอกหรือขับร้อง ฯลฯ การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากมายประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อจึงสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานและก็ไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบฟุตบาทหายใจที่ถุงลมของปอดแล้วก็บางทีอาจเกิดการติดโรคที่ปอดและก็แพร่กระจายเชื้อสู่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือดได้
                ปัจจัยเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อขึ้นอยู่กับปริมาณ หรือความเข้มข้นของเชื้อในอากาศรวมทั้งระยะเวลาสำหรับในการสัมผัสเชื้อเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับผู้ป่วยเป็นวันหรือสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่นอยู่ห้องเดียวกัน เป็นต้น วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อโรคที่มีลักษณะพิเศษคือ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรือรับเชื้อเข้าไปในร่างกายทุกรายไม่จำเป็นที่จะต้องเจ็บป่วยคือ ไม่มีอาการแล้วก็อาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การติดเชื้อช่วงนี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปกปิด/ระยะซ่อนเร้น (latent Mycobacterium tuberculosis infection)  เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อจากนั้นเสี่ยงต่อโรคได้โดยประมาณ ปริมาณร้อยละ 10ซึ่งโดยประมาณปริมาณร้อยละ 5  (หรือราว จำนวนร้อยละ50) ได้โอกาสเป็นโรคในตอน 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกร้อยละ 5   จะได้โอกาสเป็นโรคต่อไปถ้าหากร่างกายมีระบบระเบียบภูมิต้านทานธรรมดา ในกรุ๊ปที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายขาดตกบกพร่องจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าปริมาณร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค

  • กินยาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ หากระหว่างการรักษามีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ทันที ห้ามหยุดยาเอง หรือเปลี่ยนที่รักษาใหม่หลังกินยา 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นแต่อาการที่ดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว ต้องกินยาจนแพทย์มีความเห็นว่าหายขาดและสั่งให้หยุดยา ถ้าด่วนหยุดยาเองโรคจะกำเริบและเชื้ออาจดื้อยาที่เคยรักษาอยู่ ทำให้รักษาหายยากขึ้น
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
  • บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ทำลายเชื้อโรคในเสมหะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • งดสิ่งเสพติดเช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประ โยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
  • ให้บุคคลใกล้ชิดเช่น คนในบ้านพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเอกซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติจะถือว่าไม่เป็นวัณโรคไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็ก เล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
  • ในช่วงแรกของการรักษา (โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก) จะถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจึงควรแยกตัวออกให้ห่างจากผู้อื่น โดยการอยู่แต่ในบ้าน แยกห้องนอน ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้แสงแดดส่องถึง (เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี) หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดด และไม่ออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้ยังควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหากด้วย (หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นหรือเข้าไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเสมอ)
  • ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกลับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรแยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว

การป้องกันตนเองจากวัณโรค

  • ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายๆหรือค่ำๆ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  • ประชาชนทั่วไป ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรย์ปอดหรือตรวจเสมหะ (AFB) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
  • ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผู้ป่วยยังกินยารักษาวัณโรคได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายจากอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนในห้องเดียวกับผู้ป่วย และถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเสมอ รวมถึงต้องล้างมือทุกครั้งหลังการสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของๆผู้ป่วย
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าให้ผลเป็นบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค
  • ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) (Beeilus Calmette Guerin)ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกันวัณโรค ชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมี โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้


ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ.2556. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม.2556.พิมพ์ที่สำนักกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมรารูปถัมภ์.186 หน้า
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์.วัณโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 323.คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง.มีนาคม 2549
  • วัณโรค-อาการ,สาเหตุ,การรักษา http://www.disthai.com/
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 424-429.
  • วัณโรค.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วัณโรคปอด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 380.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม 2553
  • รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาสถานการณ์วัณโรคและโรคเอดส์ปี2550-2555สำ นักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.
  • กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางระดับชาติ:ยุทธศาสตร์การผสมผสานการดำ เนินงานวัณโรคและโรคเอดส์เพื่อการควบคุมและป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่2กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2546
  • ศิริลักษณ์ อภิวาณิชย์,ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร์ ,กำธร มาลาธรรม.การเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรในทีมสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.วารสารรามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่18ฉบับที่2.กันยายน-ธันวาคม 2555.หน้า273-286
  • Jarvis, W.    (2007). Tuberculosis. In   W.    R.   Jarvis (Ed.), Bennett & Brachman's hospital infections (pp.539-560). Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins.
  • วัณโรค.แผ่นพับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะกรรมการแผ่นพันเพื่อการประชาสัมพันธ์.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2552.
  • เจริญ ชูโชติถาวร. (2548). โรคติดเชื้อ ใน พรรณทิพย์ ฉายากุล และคณะ (บก.), ตําาราโรคติดเชื้อ 1 (หน้า 683-719). กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง
  • Centers for Disease Control and    (2005a). Guidelinesfor  preventing  the  transmission  of  Mycobacterium tuberculosis  in  health-care  settings,  2005. Retrieved March 16,    2011, from Morbidity and    Mortality Weekly Report Web site:
  • Kumar V, Abbas AK, Fausto N, Mitchell RN (2007). Robbins Basic Pathology (8th ed.). Saunders Elsevier. pp. 516– ISBN 978-1-4160-2973-1.


gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 33
    • ดูรายละเอียด
Re: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2018, 08:23:14 am »
โรควัณโรค เกิดจากอะไร

 

Sitemap 1 2 3