ผู้เขียน หัวข้อ: เลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อให้ประหยัดเงินทองในกระเป๋าที่สุด  (อ่าน 336 ครั้ง)

asianoned

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 50
    • ดูรายละเอียด
ตอนอากาศมันร้อน เลยก็ต้องหาวิธีเพื่อดับอบอ้าวกันสักหน่อย ใครถนัดบริโภค ก็ค้นหาอะไรทานดับร้อนกันไป แต่ว่าถ้าหากผู้ใดต้องการให้อากาศในบ้านไม่ร้อนดั่งนรก ก็น่าจะต้องอาศัย “แอร์” หรือว่า “เครื่องปรับอากาศ” แล้วละ แต่หากใช้แอร์ บางท่านก็คงจะต้องเป็นกังวลส่วนประเด็นของรายจ่ายค่าไฟที่มันจะตามมาภายหลัง แล้วทุกคนจะมีหลักเกณฑ์การเลือกซื้ออย่างไร ให้ได้ทั้งของน่าพอใจ แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกทุกคนจะน่าจะต้องนึกถึงลักษณะของแอร์น่าจะต้องให้เหมาะสมกับสถานที่และการทำงาน ซึ่งปัจจุบันนี้นั้นมีหลายหลากแบบให้เลือก โดยแต่ละรูปแบบก็มีสเปคต่างกันออกไป ถ้าหากสมมติเลือกซื้อผิดนั้น ก็สามารถทำให้ก่อให้เกิดโทษต่อแอร์ รวมถึงยังทำให้เปลืองพลังงานไปอีก โดยหลักๆ แล้วนั้น เครื่องปรับอากาศจะแบ่งออกเป็นหลายลักษณะ เช่น แอร์ติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศฝังเพดาน และ เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละอย่าง ประกอบด้วยรูปลักษณ์อย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันเลย
อันแรกก็คือแอร์ติดกำแพง โดยที่แอร์แบบนี้ เป็นที่ชื่นชอบกันอยู่แล้ว หรือต้องคุ้นชินกันอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลายแบบ ประกอบด้วยรูปแบบการออกแบบที่ตามสมัยนิยม และก็มีขนาดพอดี แล้วยังยังทำให้ลดการใช้พลังงาน แล้วยังสามารถดูแลไม่ยาก เพราะเครื่องปรับอากาศแบบนี้ เหมาะสำหรับห้องสัดส่วนน้อย รวมทั้งบ้านเรือน หรือคอนโดทั่วไป อาจจะตรงตามกับความอยากของการใช้งานได้อย่างหลายแบบ
ต่อมาเป็นแอร์ตั้งพื้น โดยเครื่องปรับอากาศแบบนี้คือประเภทที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้มาก สามารถสร้างความเย็นได้แบบรวดเร็ว รวมถึงทนทานในการใช้งาน รวมไปถึงทนทานต่อฝุ่นควันอีกด้วย เพราะว่าประเภทของแอร์จะเป็นชนิดตั้งที่พื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ โรงงาน หรือมีประชากรหนาแน่น  ซึ่งแอร์แบบนี้จะทำงานใช้เสียงดัง ก็เลยส่งผลให้เปลืองไฟฟ้ากว่าเครื่องปรับอากาศประเภทอื่นๆ
ประเภทต่อไปเป็นชนิดแอร์ฝังฝ้าเพดาน ซึ่งประเภทนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา และท่อน้ำทิ้ง สามารถติดด้านในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถรักษาทรงความประณีตของห้องได้อย่างดี ลดขีดจำกัดในการติดตั้ง โดยเหมาะสมสำหรับห้องที่ต้องการในเรื่องความสวยงาม ทำให้ภายในบ้านสวยงามเหมือนเดิม  อย่างไรก็ตามแอร์ชนิดนี้มักมีสนนราคามักสูงมากกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ
ส่วนประเภทท้ายที่สุดคือแอร์เคลื่อนที่ โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากคล้ายกับแบบก่อนหน้า เพราะว่าแค่เพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะว่าแอร์ลักษณะนี้ใช้ได้แบบเดียวกันกับแอร์ที่อยู่อาศัยทั่วไป แต่ไม่เหมือนประเภทอื่นก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ รวมทั้งก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกับผนังด้วย เหมาะกับคนที่อาศัยหอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็สะดวกมาก เหมือนแอร์แบบปกติเลย
ย้อนกลับมาที่หลักเกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ต่อมาก็ควรจะเลือกซื้อขนาดแอร์ให้เหมาะสมพื้นที่ห้อง เพราะถ้ารู้สัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะง่ายกับการเลือกซื้อขนาดของแอร์และการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานและช่วย
ประหยัดไฟฟ้า ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า BTU คืออะไร โดยมันก็คือ ขนาดทำความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อ BTU จึงมีความจำเป็น เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังงานกับอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ถ้าหากเลือกซื้อแอร์ที่มี BTU มากเกินพอดี ก็ทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความสามารถภายในน้อยลง พร้อมกับยังส่งผลให้มีความชื้นภายในห้องสูง อาจทำให้ผู้อาศัยป่วย หรือไม่ก็ป่วยได้ แล้วยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย หรือหากซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะทำให้คอมแอร์ทำงานตลอดเวลารวมทั้งมากจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะส่งผลทำให้เครื่องปรับอากาศเสียได้ง่าย รวมถึงสิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย
                ถัดไปก็เป็นแนวทางไม่ยุ่งยาก เกินที่ใครเห็น ก็น่าจะต้องช่วยให้เลือกเลือกแน่นอน ก็คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็เพราะว่านั่นคือ คุณภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มที่สุด ก็จะช่วยประหยัดไฟฟ้าและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา

 

Sitemap 1 2 3