ผู้เขียน หัวข้อ: เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง  (อ่าน 347 ครั้ง)

gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 33
    • ดูรายละเอียด

เพกา
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (โคราช,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (นราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุแก ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
ตระกูล             Bignoniaceae
ถิ่นกำเนิด เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่เริ่มแรกของทวีปเอเชีย ซึ่งเจอในประเทศอินเดียและเอเซียอาคเนย์ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารเจอได้หลายประเทศ ตัวอย่างเช่น อินเดีย เมียนมาร์ ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมถึง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะเจอเพกาตามป่าเบญจพรรณ และก็ป่าเปียกชื้นทั่วๆไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถเจอเพกาได้ทุกภาคของประเทศ แม้กระนั้นสำหรับในการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่ว่าคนประเทศไทยแค่นั้นที่เอามาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลสำหรับในการเอามาบริโภคเป็นอาหารแต่อย่างใด
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลางรวมทั้งเป็นไม้ ครึ่งผลัดใบหรือเปล่าผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราว 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่ตรงกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกลุ่มตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม แล้วก็แผลของใบยาวถึง 150 ซม. เกิดขึ้นจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้นแล้วก็กิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจายอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงข้ามกันอยู่รอบๆปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 เซนติเมตร ยาว 6-12 ซม. ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบเกลี้ยง หรือมีขนสีขาวสั้นๆข้างล่าง ท้องใบนวล ก้านใบเหนือสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบข้างล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้มองเห็นใบทั้งหมดเป็นสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก็ก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มไม้ของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 เซนติเมตร กลีบสีนวลปนเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงด้านนอก หลอดกลีบดอกยาว 2-4 ซม. รูปแตร กลีบดอกไม้หนา ขอบย่น ไม่มีพู หรือพูแตกต่างกัน มีต่อมกระจายอยู่ด้านนอก ภายในมีขนหนาแน่น ดอกบานค่ำคืน มีกลิ่นสาบฉุน แล้วก็หล่นรุ่งเช้า ชอบมีดอกรวมทั้งผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ติดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างชัดแจ้ง เมื่อได้ผล กลีบเลี้ยงนี้จะรุ่งโรจน์เป็นเนื้อแข็งมากมาย ผลเป็นฝัก แบน โค้งนิดหน่อยที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ เหมือนรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 ซม. สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปดาบ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ส่วน เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 ซม. มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยทำให้เม็ดปลิวตามกระแสลมให้ตกห่างต้นเพื่อเพาะพันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด  โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เพราะหลังจากฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ช่วงหนึ่ง หากนำเม็ดมาเพาะในระยะหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ด้วยเหตุนั้น จึงทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อย้ายต้นลงปลูกภายในแปลงได้สบาย โดยนำเม็ดออกจากฝัก แล้วก็ผึ่งแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อจากนั้นค่อยเอามาเพาะ  สำหรับสิ่งของเพาะ ควรใช้ดินผสมกับสิ่งของอินทรีย์ อาทิเช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก แล้วก็แกลบดำ แต่แม้ไม่สบายให้ใช้เพียงปุ๋ยมูลสัตว์สิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนบรรจุลงถุงเพาะชำ จากนั้น นำเม็ดลงกลบ รวมทั้งรดน้ำให้เปียก พร้อมด้วยดูแลด้วยการรดน้ำบ่อยๆทุกวัน อย่างต่ำวันละ 1 ครั้ง ตราบจนกระทั่งต้นจะผลิออก และก็แตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกลงในแปลง  การปลูกเพกานิยมนำมาปลูกในต้นฤดูฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดราว 30 ซม. ลึกราวๆ 30 ซม. ก่อนจะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยหมักราว 3-5 กำ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 จับมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก
ส่วนประกอบทางเคมี
ในฝักพบสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดเจอสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับส่วนประกอบของน้ำมันของเมล็ดเจอสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบเจอสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นเจอสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของเนื่องจากว่านั้นมีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมรวมทั้งวิตามินบี3 2.4 มก.  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มก. วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มก., ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ประโยชน์/คุณประโยชน์  ประโยชน์ที่ได้รับมาจากเพกานั้นส่วนมากนิยมนำมารับประทานเป็นอาหาร อาทิเช่น ฝักอ่อน อายุฝักราว 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักประจำถิ่นที่นิยมเอามารับประทานด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก รายการอาหารลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อรับประทานจะมีรสขมอ่อนๆทั้งนี้ การย่างไฟ นิยมย่างไฟจากเตาถ่าน แต่ว่าอาจปิ้งจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยปิ้งให้เปลือกฝักอ่อนร้อน แล้วก็อ่อนตัวจนกระทั่งไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ แล้วค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นกิน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ราษฎรนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ รวมทั้งรายการอาหารลาบต่างๆรวมถึงนำมาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ทั้งนี้ ใบอ่อน และยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานเท่าไรนัก เนื่องจากจำเป็นต้องให้ยอดเติบโต และติด ดอกบานนิยมเอามาลวกเพียงแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม และให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน รวมทั้งยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด รวมทั้งมักจะใช้สำหรับรับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้ประโยชน์อื่นๆนั้น อาทิเช่น แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคอีสาน นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ทั้งนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้อีกทั้งในรูปไม้สด เนื่องจากเนื้อไม้สดค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว แล้วก็เผาในรูปขอนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายกว่า แต่ปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เหตุเพราะ ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น รวมทั้งหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง และก็ส่งออกเมืองนอกเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกจากนั้นชาวเขายังคงใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นเพกายังมีคุณประโยชน์ทางยาอีกด้วย ดังนี้  หนังสือเรียนยาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำดื่ม แก้ไอและก็ขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย เม็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากกินน้ำ ฝักแก่ มีรสขมรับประทานได้ แก้ร้อนในอยากกินน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ระงับไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำกินแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น รวมทั้งขมเล็กน้อย เป็นยารักษาแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงโลหิต แก้เสลดจุกคอ ขับเสลด แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมน้อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยของกิน เจริญอาหาร   แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาทั้งยัง 5    ได้แก่การใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณสมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด

แบบ/ขนาดวิธีการใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำดำเขียว และ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทาบริเวณฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับสุรา     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กรูปแบบเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นเรียกตัวคนคลอดลูกที่ทนการอยู่ไฟมิได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือบก    รับประทานขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้คลื่นไส้ไม่หยุด    กินแก้เสลดจุกคอ (ขับเสลด) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
นอกจากนี้ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากหญ้าติดอยู่ รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ยามเช้าแล้วก็เย็น  ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ และขับเสมหะโดยใช้เมล็ดแก่เพการาวๆครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ไว้ภายในหม้อที่เพิ่มน้ำ 300 มล. แล้วต้มไฟอ่อนๆจนถึงเดือดราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า ช่วงกลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะ  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย หญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันให้ถี่ถ้วน แล้วนำไปละลายกับน้ำข้าวขัดถู ใช้ขนไก่ชุบพาด เอามาทาลูกอัณฑะ
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้บวมด้วย dextran และก็จะส่งผลลดบวมมากเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกทำให้เกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน และก็ฮีสตามีน แต่ว่าไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  นอกนั้นยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูธรรมดา
           จากการเรียนรู้ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในหลอดทดสอบ พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยยับยั้งสารในร่างกายที่ก่อให้เกิดการอักเสบเป็นPGE2 และ NF-kB และยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการขัดขวางวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น รวมทั้งรากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase รวมทั้งพบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกาก็มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี 5-lipoxygenase ได้ด้วยเหมือนกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับการทดสอบฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ  ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี myeloperoxidase
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียแล้วก็แก้ท้องเสียสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น และรากของเพกา มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์ดังเช่นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa และก็ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราCandida albicans และก็เจอสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ B. subtilis แล้วก็ S. aureus ได้เทียบเท่ากับยา streptomycin  สารสกัดเพกาทั้งต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC เท่ากับ 125 มก./มิลลิลิตร) แม้กระนั้นมีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC พอๆกับ 15.13 มก./มิลลิลิตร) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มิลลิกรัม/มล. มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ แล้วก็ใช้บรรเทาอาการท้องเสียที่ไม่ได้มีต้นเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเดินด้วยน้ำมันละหุ่ง และก็มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  ยิ่งกว่านั้นยังมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอุจจาระหล่น 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบ คือ Bacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 แล้วก็ แบคทีเรียที่แยกได้จากอาหาร ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และสารสกัดของสมุนไพรคนเดียวแต่ละจำพวกที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต่อต้านการยุบเกร็งกล้าม  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อกระทำทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกทำให้เกิดการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine และ histamine
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH และยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มล. ของสารทั้ง 2 เป็นลำดับ
ฤทธิ์ต้านทานมะเร็ง การศึกษาทดสอบสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับการต้านทานเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์ของมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าจำนวนร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง
การเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดลองกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กิโลกรัม มีรายงานว่าส่งผลให้เกิดพิษ Dhar รวมทั้งคณะ กระทำการทดลองฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) และก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) เข้าท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose) คือ 100 มิลลิกรัม/กก. แล้วก็ 1 กรัม/กก. เป็นลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำทดสอบความเป็นพิษกะทันหันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าช่องท้องรวมทั้งกรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มก./กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ส่งผลให้เกิดพิษทันควันในหนู และเมื่อทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงมากขึ้นหมายถึง400 และก็ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษกระทันหันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่กระตุ้นให้เกิดพิษฉับพลันได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มก./กก. สำหรับความเป็นพิษครึ่งทันควันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 รวมทั้ง 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว ทุกๆวันเป็นเวลา 30 วัน  พบว่าไม่กระตุ้นให้เกิดพิษทันควันในหนู
และเมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/โล ครั้งเดียวให้หนูแรท สังเกตพฤติกรรมด้านใน 14 วัน ไม่เจอพิษแบบรุนแรงและความแตกต่างจากปกติของอวัยวะภายใน และก็เมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และก็ 4 กรัม/กก./วัน แก่สัตว์ทดสอบต่อเนื่องกันเป็นเวลา 90 วันไม่เจอพิษแบบกึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความแตกต่างจากปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา รวมทั้งทางวิชาชีวเคมี รวมทั้งความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) แล้วก็ยาเขียว (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดลองความเป็นพิษแบบเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยวิธี Ames’ test จากผลของการทดลองพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดลอง (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี และก็แผนก พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบโดยวิธี Ames’ test
การคาดคะเนความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยแนวทาง somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถทำให้เกิด somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และก็มีกล่าวว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อเอามาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสถานการณ์ห้อมล้อมที่เป็นกรดแล้วเอามาทดสอบการกลายพันธุ์ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรตรึกตรอง

  • หญิงตั้งครรภ์ไม่สมควรรับประทานฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจทำให้แท้งบุตรได้
  • ต้องระวังสำหรับในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านทานการแข็งตัวของเกร็ดเลือด อย่างเช่น แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจส่งผลให้เป็นผลใกล้กันได้ ตัวอย่างเช่น มีการระคายเคืองกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบาง

 

Sitemap 1 2 3