ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 395 ครั้ง)

gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 33
    • ดูรายละเอียด

มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้) , ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ตะลูบ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
บ้านเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน แล้วมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกไว้ในแถบอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียรวมทั้งประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดเริ่มแรกอยู่ในทวีปแอฟริกา แม้กระนั้นสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และก็เป็นที่รู้จักดีเลิศว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏใจความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยุคพ่อขุนรามคำแหง ที่กล่าวถึงมะขามอยู่หลายที่ อาทิเช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนใดสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยอาจจะกล่าวว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายประเภทเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งกว่านั้นมะขามยังเป็นพันธุ์ไม้พระราชทางและเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามเป็นต้นไม้แข็งแรงทนทาน และฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมากประเภทหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีแถลงการณ์ว่าเจอมะขามที่แก่มากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนสามเณรแก้วเรียนวิชากับคุณครูคงสมภารวัดแค ว่า
“ทั้งพิชัยสงครามล้วนวิชาความรู้บางทีก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งทุกอย่างไปเสกใบมะขามเหนือกว่าแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะมากๆเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในขณะนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกหัดเสกใบมะขามได้เปรียบแตนในครั้งกระโน้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 เซลเซียสม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.มัธยม กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือครั้งคราวก็เว้าเข้านิดหน่อย ฐานใบทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดตกไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกไม้มี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ริมกลีบดอกไม้มีรอยย่นๆกลีบดอก 2 กลีบด้านล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนบางส่วน ยาว 3-14 เซลเซียสม. กว้าง 2 เซลเซียสม. เปลือกนอกสีเทา ด้านในมีเม็ด 3-10 เม็ด เม็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบเป็นเงา ออกดอกในช่วงพ.ค.เป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถแพร่พันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อกิจการค้ามากยิ่งขึ้น จึงนิยมนำมาปลูกจากต้นชนิดที่ได้จากการทำหมัน รวมทั้งการแทงยอดเป็นหลัก เพราะเหตุว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงแต่ไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก อีกทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีลำต้นไม่สูงเสมือนการเพาะเม็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ แล้วก็การเก็บผลิตผลซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง จัดแจงแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน รวมทั้งต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อไป ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำการขุดหลุมปลูกเอาไว้ภายในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นประเภทที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเม็ด ควรที่จะเลือกขนาดต้นประเภทที่สูงโดยประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยธรรมชาติหรือสิ่งของทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือเกิน 25-30 เซนติเมตร ก่อนนำต้นชนิดลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้น ให้นำฟางข้าวมาวางปกคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังจากการปลูกแล้วจะกระทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นเพื่อต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้ลดน้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ บางทีอาจไม่ให้น้ำเลยหากเป็นช่วงฤดูฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในเวลานี้จนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นก็เลยเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลิตผล ความถี่การใส่ปุ๋ยราวๆ ปีละ 2-3 ครั้ง ดังนี้ ควรจะให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกหนภายหลังจากการปลูกแล้วราวๆเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลได้
                นอกนั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น ได้แก่ ประเทศในแถบอเมริกากึ่งกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก็แอฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยแล้วก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะขามจำนวนหลายชิ้น
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลพื้นฐานเม็ดมะขามมีอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีปริมาณไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งบางส่วน  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นมูก  (mucilaginous material) 60% ตัวอย่างเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์มององค์ประกอบหลักๆพบว่าเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% รวมทั้งไฟเบอร์ 11.3% โดยที่เม็ดมะขามประกอบด้วยโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % ขี้เถ้า 4.2% และก็คาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเมล็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) และโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบเป็นสิสเทอีนและก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้เท่ากับ 2.50%  นอกนั้นเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จัดหมวดหมู่ได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นคะเตวัวแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  แล้วก็ในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) รวมทั้งกรดมาลิก (Malic acid) นอกเหนือจากนี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามชนิดแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามพันธุ์อื่นๆมีเม็ดสีชนิดแอนทอลแซนว่ากล่าวน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และอาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามราวๆจำนวนร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตำหนินนิดหน่อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น และก็ในเปลือกเม็ดมะขามมีลิวโคแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) ฯลฯ
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มก.
  • วิตามินบี 2 0.152 มิลลิกรัม Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 3.5 มิลลิกรัม Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มก.
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มก.
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มก.
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม


ผลดี/คุณประโยชน์ ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากมะขามอย่างแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะกินสดๆหรือใช้ทำมะขามแฉะไว้สำหรับทำอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมากมาย ใช้ประกอบอาหารไทยที่อยากได้รสเปรี้ยว ตัวอย่างเช่น แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง และก็ต้มยำโฮกอือ เป็นต้น นอกเหนือจากนั้นยังคงใช้ในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลากหลายประเภท อาทิเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก แล้วก็น้ำพริกคั่วแห้ง ฯลฯ
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนรวมทั้งใบมะขามอ่อน ก็เอามาประกอบอาหารได้เช่นเดียวกัน ทั้งยังยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าดัดแปลงได้อีกหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , แล้วก็ยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกเช่น แก่นไม้มะขาม สำหรับคนไทยแล้วเขียงกว่าปริมาณร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เพราะเหตุว่ามีคุณลักษณะสมควรกว่าไม้อื่นๆอย่างเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับของกิน นอกเหนือจากนั้นยังหาง่ายอละทนทานอีกด้วย นอกเหนือจากใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา และก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะสลัก หากนำมาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) ประยุกต์ใช้เป็นของกินได้หลายสิ่งหลายอย่าง อาทิเช่น คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง เอามาเพาะให้ผลิออกก่อน (เสมือนถั่วงอก) และจากนั้นจึงนำไปประกอบอาหาร หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกเหนือจากนั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดิบได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยบอกว่า ดอก ใบแล้วก็ฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารกินแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการไม่อยากอาหารรวมทั้งอาหารไม่ย่อยในช่วงฤดูร้อนลดความดันโลหิต น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยและเยี่ยวตรากตรำ น้ำสุกจากใบให้เด็กรับประทานขับพยาธิ รวมทั้งมีคุณประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ รวมทั้งแผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง และก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับในการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกเลือด นำมาต้มผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆใช้อาบข้างหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงแล้วก็แก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , รักษาแผล เนื้อห่อหุ้มเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆอาจเนื่องจากกรดตาร์ตาริค แต่ถ้าเอาไปต้มจนสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป ยิ่งกว่านั้นยังใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยสำหรับการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสลด  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้ชื่นบาน ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  และก็เป็นยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งให้กินในรายที่ท้องผูกเสมอๆ แก้พิษเหล้า อาหารไม่ย่อย อ้วก เป็นไข้และท้องเดิน เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
แบบ/ขนาดการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่ออาหาร แพ้ท้อง อ้วกอาเจียน ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้รับประทาน  แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเม็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเม็ด แล้วกินน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดรวมทั้งหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้ชื่นบาน หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสลด แก้อาการท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินกระทั่งเป็นเถ้าขาว รับประทานทีละ 60-120 มิลลิกรัม และก็ยังคงใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากกลั้วคอ แก้คอเจ็บแล้วก็ปากเจ็บได้อีกด้วย หรือบางทีอาจใช้เนื้อห่อเมล็ดกินครั้งละ 15 กรัม ช่วยสำหรับการย่อยอาหาร  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 วิธี เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องร่วง ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลปนแดงเป็นเงา 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการไม่ดีเหมือนปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มเม็ด กินทีละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียแล้วก็อ้วกและใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนนิ่ม แล้วกินครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มเติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและการบูรน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้และอาการอักเสบต่างๆดังเช่นว่า ป่วย อาหารไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ท้องเสีย รวมทั้งใช้แก้ลมแดดได้ดี ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม ตระเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการไม่อยากอาหาร (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและการบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อหุ้มห่อเมล็ดกับนม เนื้อหุ้มเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อหุ้มเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาตำหนิสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากกลั้วคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามแฉะไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังสดชื่นทั้งวัน มะขามแฉะและก็ดินสอพองผสมกระทั่งเหมาะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้โดยประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่กำหนดขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน ในช่วงเวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. ได้ผลยับยั้งเชื้อดังที่กล่าวถึงมาแล้วต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และสารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนรวมทั้งสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. รวมทั้งสารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มิลลิลิตร ไม่เป็นผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง อย่างเช่น  Bacillus subtilis, Escherichia coli แล้วก็ Salmonella typhi แต่สารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และก็สารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดลองรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าจำนวนที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคในไก่ คือ 100 มิลลิกรัมต่อกก. โดยที่สามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) รวมทั้งลดสภาวะออกซิเดทีฟสเตรทได้ แม้กระนั้นการเล่าเรียนอีกฉบับกล่าวว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่กล่าวมาข้างต้นพบผลร้ายคือ กินน้ำมากเพิ่มขึ้นแล้วก็มีขนาดของตับอ่อนและก็ความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้นักวิจัยแนะนำว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากโพลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ไม่สามารถย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้รวมทั้งเพศภรรยาที่กินอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคค้างไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) กินอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% และ 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักต่ำลง (weight gain) แล้วก็ feed conversion ratios ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  มีการเปลี่ยนทางพยาธิภาวะเป็นมีการเปลี่ยนของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 และก็ 4 ไก่กรุ๊ปที่ทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะร้ายแรงกว่าไก่กลุ่มที่รับประทานอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein น้อยกว่ากลุ่มควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase รวมทั้ง total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol แล้วก็ total protein จะไม่กลับสู่ภาวะปกติในตอน 2 อาทิตย์ภายหลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศภรรยาและก็เพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคคาไรด์จากเม็ดมะขาม 4, 8 แล้วก็ 12% นาน 2 ปี ไม่เจอความเคลื่อนไหวของความประพฤติปฏิบัติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินของกิน ผลทางวิชาชีวเคมีในปัสสาวะและก็เลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ รวมทั้งพยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่รับประทานสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF กินอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความแปลกใดๆก็ตามความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กก./วัน และก็ในหนูเพศภรรยาเท่ากับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แม้กระนั้นสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางเข้าไปยังกระเพาะของกินหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กิโลกรัม ไม่พบพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และก็สารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารเข้าไปยังกระเพาะอาหารหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ นำไปสู่การกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
ข้อเสนอ/ข้อควรไตร่ตรอง

  • สำหรับการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยยิ่งไปกว่านั้นมะขามสุก)นั้นควรจะเลือกมะขามที่ไม่มีเชื้อโรครา เนื่องจากว่าอาจมีอันตรายต่อสุขภาพได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้ดังเช่นว่า ท้องร่วง ท้องร่วง
  • การบริโภคมะขามไม่ควรหวังผลในการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากเกินความจำเป็นควรจะบริโภคแต่ว่าพอดิบพอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการศึกษาเรียนรู้ที่บ่งชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สมควรใช้มะขามมาลดความอ้วน
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern

 

Sitemap 1 2 3