ผู้เขียน หัวข้อ: ยอ มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคต่างๆได้ดีอีกด้วย  (อ่าน 303 ครั้ง)

gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 33
    • ดูรายละเอียด

ยอ
ชื่อสมุนไพร  ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อแคว้น  ยอบ้าน (ภาคกึ่งกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ  Indian mulberry
วงศ์  Rubiaceae
ถิ่นเกิด   ลูกยอ Morinda citrifolia เป็นผลไม้เขตร้อนพบได้มากบันทึกว่ามีการรับประทานลูกยอเป็นของกินมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชประจำถิ่นในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) แล้วก็ได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆโดยมีตำนานว่า คนภายในสมัยก่อน (ที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิค พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูรวมทั้งได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นของกินขึ้นรากฐานที่เสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายแล้วก็เพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนสมัยก่อนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยกันบันทึกแล้วก็จำต่อมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบรรเทาอาการป่วยพื้นฐานได้ โดยชาวโพลิเนเซียน คนจีน คนอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่ขยายชนิดของยอนั้นเกิดขึ้นจากถูกนำประจำตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ โดยบรรดาผู้หนีภัย แล้วก็มันสามารถเจริญเติบโตเจริญในดินภูเขาไฟที่ไม่มีมลพิษ แล้วก็มีการแพรกระจัดกระจายพันธุ์ไปยังดินแดนใกล้เคียง
แต่ว่าอีกแบบเรียนหนึ่งบอกว่าเป็นไม้พื้นบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีผู้น าไปแพร่พันธุ์จนกระทั่งกระจัดกระจายไปทั่วอินเดีย รวมทั้งตามหมู่เกาะต่างๆในห้วงสมุทรแปซิฟิคและหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ 18 เดือน รวมทั้งจะออกผล
ซึ่งในขณะนี้พืชประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในทวีปเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองกา ราราทองคำกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือ “โนนิ”
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตสุดกำลัง 5-10 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับอายุ และก็ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับแก่นไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบคายสากนิดหน่อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้แลดูไม่เป็นทรงพุ่ม
ใบ ใบเป็นใบเดี่ยว (simple leaf) แทงออกตรงข้ามกันซ้ายขวา มีทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างโดยประมาณ 10-20 ซม. ยาวราวๆ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวราวๆ 1 ซม. โคนใบ และก็ปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งคู่ด้าน ข้างบนใบพบมากเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นมาจากแบคทีเรีย
ดอก  ดอกออกเป็นช่อกลมผู้เดียวๆสีขาว ทรงเหมือนหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีอีกทั้งเกสรตัวผู้ แล้วก็เกสรตัวเมีย กลีบรองดอก รวมทั้งโคนกลีบเชื่อมชิดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวราว 8-12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ข้างในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวโดยประมาณ 4-5 มม. เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ยาวโดยประมาณ 15 มิลลิเมตร แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวราวๆ 3 มิลลิเมตร
ผล  ผลเป็นชนิดผลรวม (multiple fruit) เหมือนกันกับน้อยหน่า และก็ขนุน เชื่อมชิดกันได้ผลใหญ่ดังที่พวกเราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างโดยประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาว 3-10 เซนติเมตร ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว แล้วก็เมื่อสุกจะมีสีเหลือง และก็กลายเป็นสีขาวจนเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีจำนวนมาก เม็ดมีลักษณะแบน ด้านในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเม็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
                นอกเหนือจากนั้นยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังต่อไปนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่ส่งผลหลายขนาด เจอได้รอบๆหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่ส่งผลเล็ก พบได้บ่อยในทวีปเอเชีย ดังเช่นว่า ไทย ประเทศพม่า ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย ประเทศอินเดีย และหมู่เกาะในห้วงมหาสมุทรแปซิฟิก
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีสีเขียว รวมทั้งสีขาว พบทั่วๆไปรอบๆหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูก
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แม้กระนั้นสามารถขายประเภทด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่น การปักชำ การทำหมัน แต่การเพาะเมล็ดจะให้ผลที่ดีกว่าและอัตราการรอดจะสูงยิ่งกว่าวิธีอื่น โดยการเพาะเมล็ดจะใช้กรรมวิธีการบีบแยกเม็ดออกจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และก็กรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ควรจะเป็นผลสุกจัดที่หล่นจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม  เม็ดที่ได้จำต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน  และก็เอามาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงโดยประมาณ 30 ซม. ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพันธุ์พืชที่ดูแลง่ายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมาก และยังเป็นพืชที่คงทนต่อภาวะดินเค็มรวมทั้งสถานการณ์แห้งอีกด้วย จึงทำให้มีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ทั้งในส่วนของ  ผล ใบ และราก มีหลายประเภท เช่น scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกรุ๊ป anthraquinones ได้แก่ anthraquinone glycoside , morindone รวมทั้ง rubiadin รวมถึง      flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E                                    ยิ่งไปกว่านี้ยังมี  vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene และก็  linoleic acid ซึ่งสารกลุ่มนี้สารชนิดได้มีการทดลองคุณลักษณะของสารแล้วว่ามีผลซึ่งสามารถนำมาใช้ทางด้านการแพทย์ได้ นอกเหนือจากนั้นยังเจอสารชนิดใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside และ iridoid glycoside ในใบยอโดยสารทั้งคู่มีผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
ประโยช์จากยอนั้นมีในด้านการนำไป บริโภคเป็นอาหารและการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านของ        Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น   มีมากมายหลายแบบดังต่อไปนี้ มีการ
 บริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆหรือปรุงแต่ง ยกตัวอย่างเช่น บางหมู่เกาะในห้วงมหาสมุทรแปซิฟิค กินผลยอเป็นของกินหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวพื้นเมืองออสเตรเลียกินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหรี่ แล้วก็ใช้เมล็ดของยอคั่วรับประทานได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก  เอามาจิ้มรับประทานกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำส้มตำ ใบอ่อน นำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือประยุกต์ใช้รองกระทงห่อหมก และก็ในปัจจุบันมีการนำลูกไปดัดแปลงโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีคุณประโยชน์ ทางด้านคุณประโยชน์ของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ แล้วก็ธาตุโปแตสเซียมสูง นอกจากนั้นจะมีลักษณะเสมือนผักผลไม้เยอะมากๆเพราะเหตุว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจัดว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ แล้วก็ต้านทานโรคมะเร็ง  ได้
                ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกบอกว่ามีสรรพคุณทางยา ดังนี้  ตำราเรียนยาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อย เหงือกบวม ขับรอบเดือนเสีย ขับเลือดลม ฟอกโลหิต ขับน้ำคร่ำ แก้เสียงแหบ แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กษัย แก้อ้วก  โดยนำมาหมกไฟหรือต้มกับน้ำดื่ม หรือเอามาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาไทยบอกว่าผลอ่อนกินเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับประจำเดือนสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือบางส่วน อมแก้เหงือกยุ่ยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เมล็ดเป็นยาระบาย
           ตำราเรียนยาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตทุพพลภาพ ส่วนอีกหนังสือเรียนหนึ่งบอกว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังนี้
                ราก สรรพคุณเป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมขื่น สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ด คุณประโยชน์ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิต ประจำเดือนของสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อย แก้เสียงแหบแห้ง แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาบ้าน มีกลิ่นฉุน คุณประโยชน์ผายลมในลำไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนประกอบของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
แก้คลื่นไส้ที่เกิดจากธาตุไม่ปกติ           ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆย่าง  หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง  ใช้ทีละ  2  กำมือ  น้ำหนักประมาณ  10-15  กรัม  ต้มหรือชงน้ำดื่มจิบแม้กระนั้นน้ำเสมอๆในตอนที่มีอาการ  ถ้าหากดื่มทีละมากๆจะทำให้อาเจียน
ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลกิน ช่วยแก้กระษัย  แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้เบาหวาน คุ้มครองปกป้องโรคในระบบหัวใจ แล้วก็เส้นโลหิต แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำหรือเอามาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน ปกป้องโรคหัวใจ แล้วก็เส้นโลหิต ต้านโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร รวมทั้งลำไส้ ช่วยขับระดู แก้ระดูมาไม่ปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด
รากนำมาต้มหรือดองสุรารับประทานเป็นยาระบาย แก้กษัย ช่วยเจริญอาหาร คุ้มครองโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ แล้วก็หลอดเลือด
ไอระเหยที่เกิดขึ้นจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลตกสะเก็ดรอบปากหรือข้างในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้บ้วนปากแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือรับประทานเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยแนวทางการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู สิ่งแรกให้เลือกลูกยอห่าม นำมาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือครึ้มจนถึงเกินความจำเป็น แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปย่างไฟอ่อนๆโดยปิ้งให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาท่อนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำกระทั่งเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองแบบลงไปต้มพร้อมกัน ใส่น้ำตาลกรวดเพียงพอหวาน ทิ้งเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วชูลงจากเตา รอคอยจนอุ่นแล้วนำมารับประทาน ส่วนที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่ไว้ภายในตู้แช่เย็นและก็หลังจากนั้นจึงค่อยอุ่นกิน ให้ดื่มติดต่อกัน 1 สัปดาห์ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกรวมทั้งแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินมัวแต่น้ำเพื่อทุเลาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการอาเจียน   ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)                 นำผลยอดิบที่โตเต็มที่แล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆจากนั้นนำมาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟอบอวลๆให้แห้งเกรียม นำมาบดเป็นผุยผง แล้วก็ใช้ผงมาราว 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที กรองเอาแต่น้ำใส่กระติกที่เอาไว้สำหรับใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอาเจียน อาเจียน
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อาเจียน อาเจียน การเรียนรู้การใช้น้ำผลยอสำหรับเพื่อการยับยั้งอ้วก โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อ้วก แล้วก็น้ำชาซึ่งใช้ในกลุ่มควบคุม ในคนเจ็บไข้จับสั่น 92 ราย ที่มีลักษณะอาการอ้วกคลื่นไส้ ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มิลลิลิตร กินทุก 2 ชั่วโมง กลุ่มที่ 2 กินน้ำชา 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง แล้วก็กลุ่มที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มิลลิกรัม) เวลามีลักษณะคลื่นไส้อ้วกทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกจำนวนครั้งการคลื่นไส้ก่อนแล้วก็หลังการให้ยาทุกราย จากการเรียนรู้พบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอาเจียนก่อนให้ยาอีกทั้ง 3 กรุ๊ป มีค่าไม่ได้มีความแตกต่างกัน แต่ปริมาณการอาเจียนกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ แล้วก็ชามีค่าเฉลี่ยมากที่สุด แสดงว่ายอลดอาการอ้วกได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อศึกษาเล่าเรียนกลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต้านทาน dopamine อย่างอ่อน  สารสกัดน้ำของผลยอสามารถรีบการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้อาเจียนด้วย  apomorphine แม้กระนั้นไม่สามารถต้านฤทธิ์ของ apomorphine ในการลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside และ alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถป้องกันการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella แล้วก็ Shigella
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารประเภทหนึ่งจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการต่อว่าดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ดังเช่นว่า Rifampcin
ฤทธิ์ยับยั้งความเจ็บปวด (Analgesic activity) มีรายงานว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลอง และก็ผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์หยุดปวดในสัตว์ทดลอง

การเรียนทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษ  สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางท้องหนูพบว่า ค่า LD50 เท่ากับ 0.75 ก./กก. สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดสอบพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดสอบพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่เจอความแตกต่างจากปกติใดๆก็ตามในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด และก็ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา นอกจากนี้การทดสอบความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่พบความเป็นพิษทั้งแบบกระทันหันและก็แบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์  น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มิลลิกรัม/มล.ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ช่วงเวลาที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มรวมทั้งน้ำจากรากทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ในตอนที่สารสกัดเฮกเซนและก็เมทานอลจากรากไม่เป็นผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อแนะนำ/ข้อพึงระวัง

  • สารโพรซีโรนินที่เจอในน้ำลูกยอ อยากน้ำย่อยเปปสิน (Pepsin) รวมทั้งสภาพความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน โดยเหตุนี้ ถ้าหากกินน้ำลูกยอในขณะที่ท้องอิ่มแล้วจะก่อให้ส่งผลทาเภสัชของสารซีโรนินน้อยลง
  • ค่า และก็สรรพคุณน้ำลูกยอจะต่ำลงเมื่อกินร่วมกับแอลกอฮอล์
  • การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่ควรกระทำให้เมล็ดยอแตก ด้วยเหตุว่าสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจจะก่อให้ถ่ายบ่อยครั้งได้
  • คนไข้โรคไตไม่ควรกินน้ำลูกยอ เพราะว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายกระทันหันได้
  • สตรีตั้งครรภ์ไม่สมควรบริโภคลูกยอ ด้วยเหตุว่าผลยอมีฤทธิ์ขับเลือด อาจทำให้แท้งบุตรได้
เอกสารอ้างอิง

  • มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  • อัญชลี จูฑะพุทธิ  ปุณฑริกา ณ พัทลุง  อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์  เย็นจิตร เตชะดำรงสิน.  การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  • ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  • วิชัย เอกพลากร  สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์  แก้วโกมล และคณะ.  การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน.  รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน  กระทรวงสาธารณสุข.
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
  • ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/
  • ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  • Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia.  Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  • Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats.  Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  • Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K.  Induction of normal phenotypes in ras-  transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia.  Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  • Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al.  Screening of Indian plant for biological activity. VI.  Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  • Hirazumi A, Furusawa E.  An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity.  Phytother Res 1999;135:380-7.
  • Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  • Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata.  Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.



Tags : ยอ,

 

Sitemap 1 2 3