ผู้เขียน หัวข้อ: ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้  (อ่าน 331 ครั้ง)

gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 33
    • ดูรายละเอียด

ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าพี่หญิง (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
สกุล  Menispermaceae
บ้านเกิดเมืองนอน ย่านางมีถิ่นเกิดในตอนกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า ในประเทศ เมียนมาร์ , ไทย , ลาว , กัมพูชา  เรื่องจริงแล้วพืชสกุลย่านางนี้มีราว 70  ตระกูล แต่ว่าส่วนมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนและในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียและก็อเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของพวกเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ แล้วก็ป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แม้กระนั้นในตอนนี้ได้มีการเอามาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคและใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีแก่นไม้ เลื้อยพันเนตรมต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน แขนงมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนห่างๆ หรือเกลี้ยง ใบผู้เดียว ครึ้ม สีเขียวเข้มเป็นเงา เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวราว 6-12 เซนติเมตร กว้างราว 4-6 เซนติเมตร ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นนิดหน่อย ก้านใบยาวโดยประมาณ 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แต่ว่าแข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งหนึ่งออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น รวมทั้งมีเส้นแขนงใบ 2-6 คู่ เส้นเหล่านี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบของใบ เส้นกึ่งกลางใบข้างล่างจะร่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนเกลี้ยง ก้านใบผิวร่นละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกแขนงตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวราวๆ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้แล้วก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่าและก็เรียงทับกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มม. ออกจะหมดจด กลีบดอกไม้มี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มม. สะอาด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปตะบอง ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มิลลิเมตร ภายนอกมีขนเล็กน้อย กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มม. เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มม. ติดอยู่บนก้านชูสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกลุ่ม ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มม. ยาว 7-10 มิลลิเมตร ผิวเกลี้ยง มีเม็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อแล้วก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มม. เมื่อสุกจะกลายเป็นสีส้มและก็แดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ผนังผลชั้นในมีสันไร้ระเบียบ ออกดอกช่วงมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่รุ่งเรืองได้ ในดินแทบทุกจำพวก ถูกใจดินร่วนซุยคละเคล้าทรายจะเจริญรุ่งเรืองได้ดี การปลูกไว้ในฤดูฝน จะเจริญวัยได้ดียิ่งไปกว่า จะเจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกเอาไว้ภายในช่วงอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย รักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแล้งได้ดิบได้ดี
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่วิธีที่เป็นที่ชื่นชอบในปัจจุบัน คือ การเพาะเมล็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แต่จำเป็นต้องใช้เม็ดที่แก่เต็มกำลังที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเม็ดต้องระมัดระวังอย่าขุดหลุมลึก เพราะจะทำให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมาก เพราะเหตุว่าย่านางจะเติบโตได้ดี ในดินมีความชุ่มชื้นพอเพียง แล้วก็สามารถเติบโตได้แม้จะมีวัชพืชขึ้นดก เพราะว่าต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชประเภทอื่น
สำหรับหัวข้อการให้ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่เพียงพอ เราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยหมักจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แต่ว่าหากจะให้ใบเขียวเข้มมากยิ่งขึ้น อาจจะต้องให้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือประมาณ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจำต้องปรับปริมาณต่ำลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นโดยประมาณ 1×1 เมตร และเมื่อต้นเริ่มเลื้อยทอดยอด ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง  จะเริ่มเก็บผลิตผลใบย่านาง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน หลังปลูกภายในแปลง ใบมีขนาดโตเต็มที่มีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ และก็จะเก็บได้ตลอดไปเรื่อย
องค์ประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่พบในใบย่านางส่วนใหญ่จะเป็นสารกลุ่มฟินอลิก (phenolic compound) ดังเช่น ไม่เนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และก็สารในกรุ๊ปฟลาโม้นไกลโคไซด์ ดังเช่นว่า สารโมโนอีพอกซีบีตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) และก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ยกตัวอย่างเช่น ทิเรียโครีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine รวมทั้ง D-isochondendrine พบได้ทั้งยังในราก และใบย่านาง  และก็การเล่าเรียนองค์ประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านทานมาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้แนวทางแยกสารด้วย column chromatography  รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ประเภทเป็นtiliacorinine (I) และก็ tiliacorine (II) จำนวน  0.0082% และก็ 0.0029% ตามลำดับ  ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มิลลิกรัม
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
-               ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม
-               วิตามินซี 141.0 มิลลิกรัม
-               ขี้เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งปวง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคติดอยู่ไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               เดกซ์โทรส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
คุณประโยชน์/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นจะต้องต่อสุขภาพร่างกายอีกเยอะมาก ดังเช่นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในจำนวนค่อนข้างจะสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกหลายคนต่างก็เคยชินกันดี เนื่องจากนิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ได้แก่ แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
คุณประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นของกินมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้รับประทานแกล้มแนมกับของกินเผ็ด คนประเทศไทยอีสานและก็ชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น เป็นต้นว่า แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ รวมทั้งเพิ่มคลอโรฟิลล์และอนุภาคบีตาแคโรทีนให้กับอาหารดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
นอกจากนั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเปรอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมและหมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (หมายความว่าใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ ยิ่งกว่านั้นยังนำไปผัด แกงน้ำกะทิ และก็หั่นตรอกรับประทานอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำเอามาใส่แกงประจำถิ่น ยกตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของย่านางหมายถึง ตำราเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกสายฟ้า (มีรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อจังหวัดชุมพร รากคนทา รากแส้ม้าทลาย อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ หรือประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำก่อนที่จะกินอาหารยามเช้า กลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ทำลายพิษผิดสำแดง เอามาต้มรับประทานเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้ป่าเรื้องรัง ไข้ทับประจำเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษด้านในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มกินแก้ไข้ไข้มาลาเรีย ลำต้น รสจืดขม ถอนพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ไข้ทรพิษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง ใบ รสจืดขม รับประทานถอนพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศรีษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึกฝน ลิ้นหยาบคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ไข้ทรพิษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกตำราหนึ่งบอกว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับกระหาย บรรเทาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส โรคฝีดาษ ถอนพิษเมาค้าง เมาสุรา ทุเลาท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ทำลายพิษ แล้วก็ลดพิษจากพืช สัตว์ แล้วก็สารเคมีในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นเอามาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม ทุเลาอาการไข้ประเภทต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด รวมทั้งลดพิษยากำจัดแมลงในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือเอามาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ดังเช่นว่า บรรเทาอาการร้อนใน บรรเทาอาการป่วย ตัวร้อน ทุเลาไข้รากสาด ไข้โรคฝีดาษลดพิษยากำจัดศัตรูพืชภายในร่างกาย และก็ถอนพิษอื่นๆ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แล้วก็ใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เจาะจงการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาลักษณะของการมีไข้ ส่วนด้านการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันเลือด ต้านเชื้อจุลชีวิน ต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต้านทานการเจริญของเซลล์ของมะเร็ง ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี acetylcholinesterase และมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับการต้านอนุมูลอิสระ  และยังมีคุณสมบัติกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวคราว-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านทานจุลชีวิน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli และก็ Salmonellaspp. และยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวหน-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต่อต้านจุลชีพ Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli และ Salmonella spp. ต้านทานไข้ และก็ต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางปราศจากอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังดังเช่นว่า โรคหัวใจและเส้นเลือด โรคกระดูกรวมทั้งข้อโรคเบาหวาน โรคระบบฟุตบาทหายใจ
แบบอย่าง/ขนาดการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ราว 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (ปวดท้องเนื่องจากรับประทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงรวมทั้งรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แม้กระนั้นไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าเกิดไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าเกิดให้ดีขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในของกิน เป็นต้นว่า เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นรวมทั้งใบ 1 กำมือ  ตำผสมกับข้าวสารเจ้า 1 ถือมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือแล้วก็น้ำตาลน้อยพอดื่มง่ายให้หมดทั้งยังแก้ว ทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยทำให้   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มครั้งละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาประจำถิ่นในภาคอีสาน   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้จับสั่น   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมกระทั่งเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย        เรียนฤทธิ์ต้านทานเชื้อไข้มาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นองค์ประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ แล้วก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการหยุดยั้งเชื้อไข้มาลาเรีย จากองค์ประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่แตกต่าง 5 จำพวก ในกลุ่ม bisbenzyl isoquinoline ดังเช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, แล้วก็สาร alkaloid ที่ไม่อาจจะระบุส่วนประกอบได้ คือ G และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อไข้จับสั่นระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียเข้าสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี รวมทั้งมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 เท่ากับ 344 ng/mL และก็ตามด้วย nor-tiliacorinine A แล้วก็ tiliacorine ตามลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 รวมทั้ง 675 mg/mL ตามลำดับ)
ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 จำพวก ได้แก่ tiliacorinine, 20-nortiliacorinine และ tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง รวมทั้งอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 ชนิด คือ 13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ประเภทนี้ ได้เอามาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลของการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ประเภท มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แม้กระนั้นที่ค่า MIC พอๆกับ 3.1 μg/ml เป็นค่าที่สามารถยั้ง  MDR-MTB ได้เป็นจำนวนมากที่สุด
ฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็ง     การเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดลอง แล้วก็ในสัตว์ทดสอบ โดยเรียนรู้ผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่พบในย่านาง  สำหรับการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญก้าวหน้าของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี และก็สาร tiliacorinine  ผลของการทดสอบพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญสำหรับการยั้งการเพิ่มปริมาณของเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นกระบวนการ apoptosis ซึ่งเป็นขั้นตอนในการกำจัดเซลล์ผิดปกติ แล้วก็เซลล์มะเร็งภายในร่างกาย รวมทั้งการทดลองในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญของเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของผักพื้นบ้านไทย จำนวน 6 ประเภท ยกตัวอย่างเช่น ผักฉันด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง รวมทั้งผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละประเภท ทดลองฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผัก 6 ประเภทเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี แล้วก็วิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำรวมทั้งส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี รวมทั้งวิตามินอีที่ IC50 9.34 และก็ 15.91 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ
งานค้นคว้าวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยตรวจตราฤทธิ์ยับยั้งปวดและก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักประจำถิ่นอีสาน 10 จำพวก การตรวจค้นฤทธิ์ยับยั้งปวดโดยใช้ writhing test และ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดลองใช้สารสกัดพืชผักพื้นบ้านด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และก็ผักชีลาว มีผลลดการเกิด writhing ในหนูปริมาณร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดลองฤทธิ์ยับยั้งปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์ยับยั้งปวด จากนั้นเลือกเฟ้นสารสกัดที่มีฤทธิ์สูงที่สุด 4 ชนิด ยกตัวอย่างเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และก็ผักกาดฮีนมากระทำทดสอบฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัดทั้งยัง 4 ชนิดไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดลอง ผู้วิจัยมั่นใจว่าสารสกัดจากใบตำลึงรวมทั้งใบย่านางบางทีอาจจะออกฤทธิ์หยุดปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานศึกษาค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องแลปเบื้องต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นลักษณะการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่รู้จักว่าจะส่งผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือเปล่า การศึกษาและทำการค้นพบนี้บางทีอาจเกี่ยวพันกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแม้กระนั้นโบราณได้ หากแต่จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปตรวจดูฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับเพื่อการลดไข้แม้กระนั้นมีพิษต่อสัตว์ทดสอบ การศึกษาค้นคว้าวิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภทเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) และก็อัลติดอยู่ลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อพิจารณาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดสอบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจค้นสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้บางทีอาจอยู่ในชนิด aporphine alkaloids
การเรียนทางพิษวิทยา พิษกระทันหัน แล้วก็กึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          ศึกษาพิษทันควันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ และก็เพศภรรยา ประเภทละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแค่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของสภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และ  ไม่มีการแสดงการกระทำที่เปลี่ยนไปจากปกติ รวมถึงไม่มีการเสียชีวิต หรือความเคลื่อนไหวของเยื่อภายใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู ปริมาณ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กิโลกรัม (คิดเป็นปริมาณ 6,250 เท่าของจำนวนที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การศึกษาพิษเรื้องรัง ทดสอบโดยป้อนสารสกัดแก่หนูทดลอง เพศผู้ รวมทั้งเพศเมีย ชนิดละ 10 ตัว ทุกวี่วัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันเป็นเวลานาน 90 วัน   ไม่พบความแปลกทางด้านพฤติกรรม แล้วก็สุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 และก็ 118 โดยตรวจร่างกาย และมีกลุ่มที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าชีวเคมีในเลือด รวมทั้งเนื้อเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการค้นคว้าแสดงให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษรุนแรง รวมทั้งพิษกึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง อีกทั้งในหนูเพศผู้ รวมทั้งเพศเมีย
คำแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มทันที เนื่องจากว่าถ้าเกิดทิ้งเอาไว้นานเกินความจำเป็นจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือมีการบูดขึ้นได้ แต่ว่าสามารถนำมาแช่ตู้แช่เย็นได้ แล้วก็ควรดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • ในการดื่มน้ำย่านาง ควรจะดื่มก่อนกินอาหารหรือตอนท้องว่างราวๆครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางบุคคลที่มีความรู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว รับประทานยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วนำมาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรชนิดอื่นๆก็ได้ เป็นต้นว่า ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้กระทั้งน้ำหวานก็ได้เช่นเดียวกัน
  • ควรดื่มจำนวนแม้กระนั้นพอดี หากดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้ลดลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภู

 

Sitemap 1 2 3