ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์  (อ่าน 315 ครั้ง)

ำพ

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 14
    • ดูรายละเอียด

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แม้กระนั้นต่างจำพวกกัน ซึ่งมีคุณสมบัติและสรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราวๆ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปออกจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราว 15-20 ซม.
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกผู้เดียว รูปแบบของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกแล้วก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกปะทุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา เป็นต้น
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนรวมทั้งอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมรวมทั้งมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะที่คล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นแพร่พันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะงอกงามในฤดูฝน และจะเหี่ยวเฉาไปในตอนต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นเองตามป่าราบชายทะเลและที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างประเทศบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดรวมทั้งเป็นมูกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด หากสัมผัสเข้าจะก่อให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นจึงจะต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแบออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกลางใบ ส่วนขอบใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำรวมทั้งยาวได้ประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินรอบๆของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงปนสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบแต่งแต้มเป็นรูปห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางเรือนจำ
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นทรงรียาว ขนาดยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร ผลมีเยอะๆชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่เมล็ดแยกออกจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นของกินสำหรับผู้เจ็บป่วยเบาหวานและก็คนไข้โรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำดื่ม โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจัดกระจายเสมหะที่อุดตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน แล้วก็เลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้เมนส์ไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับประจำเดือนของสตรี (ราก)
หัวเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองเจริญ (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อ.ลำปลายมาศ จังหวัดจังหวัดบุรีรัมย์) แนะนำให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พิงปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเมล็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนถึงเม็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดและจากนั้นก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงพอสมควรลงไปต้มให้เพียงพอหวาน จากนั้นทดลองชิมดู ถ้าหากยังมีลักษณะอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่เคยรู้ล้มใส่เข้าไปด้วยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นและก็เก็บไว้ภายในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก โดยประมาณ 30 นาที จะปวดปัสสาวะโดยธรรมชาติ ภายหลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถนำมารับประทานได้ ถ้าหากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชำระล้างบริเวณที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) จำนวนมาก ที่กระตุ้นให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
กระบวนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำเพียงพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นหนแรก แล้วก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังกล่าวในการปรุงอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าหากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เพราะว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกวันหลังการรับประทาน แต่ให้กินก่อนกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างขึ้นมาจากวุ้น ตัวอย่างเช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังอาหารได้ เนื่องจากว่าวุ้นดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้ผ่านวิธีรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณประโยชน์ทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องด้วยไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็ธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเลยกลูวัวแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง (ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แล้วก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดโทษและส่งผลเสียรวมทั้งไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ตัวอย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจจะทำให้มีลักษณะท้องเดินหรือท้องเฟ้อ มีลักษณะอาการอยากกินน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนแรงเพราะเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่เจอ ดังเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และยังพบสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงจำนวนร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญหมายถึงกลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารชนิดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องมาจากมีความเหนียว ช่วยยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมกลูโคส ฉะนั้น กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนป่วยเบาหวานและก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณต่างกันออกไปตามจำพวกของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% และก็สิ่งเจือปนอื่นๆดังเช่นว่า alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองชนิด คือ เดกซ์โทรส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลชนิดแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดรวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกจากกลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของปริมาณเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะอาหารของพวกเรา แล้วเกิดการขยายตัวกระทั่งทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วแล้วก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรารับประทานได้น้อยลงกว่าปกติด้วย ทั้งกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนจึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและก็เป็นอาหารของผู้ที่อยากลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่กินทีละ 15 กรัม ต่อ 1 โล ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูต่ำลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ลดลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะแล้วก็ไส้ได้ดิบได้ดีมาก และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เยอะขึ้น ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูน้อยลง6
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากบุกคนประเทศไทยเรานิ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบุก

 

Sitemap 1 2 3