ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์  (อ่าน 372 ครั้ง)

yulyul

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 25
    • ดูรายละเอียด

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างจำพวกกัน ซึ่งมีคุณลักษณะแล้วก็สรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนนิดหน่อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกคนเดียว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (จังหวัดชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีคอยกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว แก่ได้นานหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอ้วนแล้วก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมและมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะก็จะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นแพร่พันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเจริญงอกงามในฤดูฝน แล้วก็จะเหี่ยวเฉาไปในช่วงต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นเองตามป่าราบหาดทรายและก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างประเทศบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างจะกลมและก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดแล้วก็เป็นมูกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด ถ้าเกิดสัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นก็เลยต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 กิโลกรัม
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบคนเดียว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแบออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกลางใบ ส่วนขอบใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบเสริมแต่งเป็นรูปห่อหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นรวมทั้งบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางเรือนจำ
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นรูปทรงรียาว ปริมาณยาวราว 1.2 เซนติเมตร ผลมีเยอะมากติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ด้านในผลมีเมล็ดราว 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่ว่าเมล็ดแยกออกมาจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานรวมทั้งคนป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสลด ช่วยกระจายเสลดที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้เมนส์ไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับรอบเดือนของสตรี (ราก)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าแล้วก็กัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลบอกว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้บวมช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ โดยคุณนิล นก (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกลาง อ.ลำปลายกาญจนา จังหวัดจังหวัดบุรีรัมย์) แนะนำให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเมล็ดนำมาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วก็ใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำเพียงพอท่วมเม็ดบุก ต้มกระทั่งเม็ดบุกตกลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วหลังจากนั้นก็ให้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงพอสมควรลงไปต้มให้พอเพียงหวาน จากนั้นทดลองลองมอง หากยังมีลักษณะคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วค่อยชิมใหม่ ถ้าเกิดไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้เรื่องล้มใส่เข้าไปด้วยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นแล้วก็เก็บเอาไว้ภายในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราว 30 นาที จะปวดฉี่โดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (รู้เรื่องว่าเป็นส่วนของหัว) นำมาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถเอามากินได้ ถ้าเกิดเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ส่งผลให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าแล้วก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองรวมทั้งคันปากได้8ก่อนเอามากินจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
กรรมวิธีกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นหนแรก แล้วก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วในการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าหากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
ด้วยเหตุว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกภายหลังการรับประทาน แม้กระนั้นให้รับประทานก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างขึ้นจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ ด้วยเหตุว่าวุ้นดังกล่าวข้างต้นได้ผ่านวิธีแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณประโยชน์ทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องมาจากไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินรวมทั้งธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง (เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี รวมทั้งวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ยกตัวอย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจทำให้มีลักษณะท้องเดินหรืออาการท้องอืด มีอาการอยากกินน้ำมากกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการอ่อนล้าเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ตัวอย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และก็ยังพบสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine แล้วก็วิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และก็หัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 และมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารชนิดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีเดกซ์โทรส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้วยเหตุว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ด้วยเหตุดังกล่าว กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดีมากยิ่งกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนไข้โรคเบาหวานและก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณต่างกันออกไปตามประเภทของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% รวมทั้งสิ่งปลอมปนอื่นๆอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภทหมายถึงเดกซ์โทรส 2 ส่วน แล้วก็แมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลประเภทแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่เจอในพืชทั่วไป จึงไม่ถูกย่อยโดยกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกจากกลูโคแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและก็พองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของปริมาณเดิม เมื่อเรารับประทานกลูวัวแมนแนนก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะของพวกเรา แล้วมีการพองตัวจนกระทั่งทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มอาหารได้เร็วและอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรารับประทานได้ลดน้อยลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูวัวแมนแนนจึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและเป็นอาหารของคนที่อยากลดหุ่นได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดน้อยลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ลดน้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซับน้ำในกระเพาะแล้วก็ลำไส้ได้ดีมากมาย และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้มากขึ้น ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีอาการบวมที่ขากินทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดน้อยลง6
คุณประโยชน์ของบุกคนประเทศไทยเรานิ http://www.disthai.com/

jessica

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 34
    • ดูรายละเอียด
Re: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2018, 01:22:01 pm »
สรรพคุณบุก ประโยชน์ของบุก

 

Sitemap 1 2 3