ผู้เขียน หัวข้อ: ทับทิมเป็นสมุนไพรผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงรักษา  (อ่าน 318 ครั้ง)

มม

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 23
    • ดูรายละเอียด

ทับทิม
ทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมกินอย่างแพร่หลาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสดสูงที่สุดและก็ยังนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆดังเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวยสดงดงาม อีกทั้งยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแล้วก็สารพฤกษเคมีหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงมั่นใจว่าบางทีอาจมีประโยชน์ในการคุ้มครองปกป้องโรคหรือบรรเทาอาการ อย่างเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและเส้นโลหิต คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากและโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และอื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยที่เล่าเรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบแตกต่างกันกับการรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่อาจจะกำหนดสมรรถนะของทับทิมต่อการดูแลและรักษาโรคได้กระจ่างแจ้ง ซึ่งแบบอย่างการเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อาทิเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต้านทานอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ก็เลยอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนรู้ฤทธิ์การต้านทานสารอนุมูลอิสระของทับทิมในผู้ที่มีน้ำหนักเกินปริมาณ 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มิลลิกรัม (มีกรดแกลลิค 610 มิลลิกรัม) และประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดลอง พบว่าค่าดังที่กล่าวผ่านมาแล้วลดลง ก็เลยคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือด
นอกจากนั้น ยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยอีกชิ้นให้ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดแดงแข็งจำนวน 15 คน ทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปและ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่มิได้กินอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่ต่ำลงราว 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น ก็เลยชี้ให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยในการลดการเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ดังนี้ ยังคงควรจะมีการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มในระยะยาวกับกลุ่มการทดสอบขนาดใหญ่มากเพิ่มขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลของทับทิมและการดูแลรักษาโรคเส้นโลหิตแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมเป็นผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกในการรักษาโรคเหงือก เพราะว่าการดูแลและรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีคุณภาพพอเพียงสำหรับเพื่อการทุเลาอาการจากโรคมากมายเท่าที่ควรและก็ลดความเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางคลินิกกับคนไข้โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองคุณภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะดีขึ้นภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับเพื่อการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงอาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับคนไข้โรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลและรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่เล่าเรียนประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอกรูปแบบเจลในการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากดียิ่งขึ้นและปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดน้อยลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การค้นคว้านี้ทำให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจใช้ประโยชน์เป็นส่วนผสมในสินค้าเพื่อดูแลรักษาโพรงปาก ยกตัวอย่างเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองและก็ทุเลาอาการโรคเหงือกอักเสบ
คุ้มครองปกป้องการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพในการลดคราบเปื้อนจุลชีวันตามผิวฟัน รวมทั้งบางทีอาจนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลากหลายประเภท ซึ่งจากการทดสอบให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในโพรงปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ธรรมดา แม้กระนั้นสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกรุ๊ป โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดรอยเปื้อนจุลชีวันลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่มีความต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน จึงเพียงพอจะกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจลดโอกาสสำหรับในการกำเนิดคราบจุลินทรีย์ภายในโพรงปาก
เวลาเดียวกัน การศึกษาอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเกิดคราบเปื้อนจุลชีพ ซึ่งสำหรับในการทดลองได้เก็บรอยเปื้อนจุลินทรีย์จากโพรงปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีและกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนแล้วก็ข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดต่างกันในแต่ละกรุ๊ป ได้แก่ น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน และยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการลดคราบจุลชีพลงมากที่สุดโดยประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% และยาหลอกที่น้อยลงเพียงแค่ 11% ก็เลยอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียและก็เป็นตัวเลือกสำหรับในการใช้ขจัดคราบจุลชีวันบนผิวฟัน ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงต้องมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าระยะเวลาสำหรับการทดสอบออกจะสั้น
สภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาผลการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนเจ็บโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และก็มีสภาวะไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่กินอาหารข้างใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมถึงอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าผู้ป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันชนิดไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดลง แต่ว่าไม่พบความเคลื่อนไหวของระดับไตรกลีเซอไรด์และก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้เจ็บป่วยเบาหวานลง แต่ว่ายังบอกไม่ได้แจ่มชัด ด้วยเหตุว่าอาหารชนิดอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน รวมทั้งกรุ๊ปการทดสอบมีขนาดเล็ก จำเป็นที่จะต้องขยายผลการศึกษาในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเสริมเติม นอกเหนือจากนั้น การดูแลและรักษาภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูงควรจะมีการควบคุมของกินแล้วก็การออกกำลังกายไปพร้อมกัน ซึ่งบางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายประเภท โดยเฉพาะสารโพลีฟีนอลที่พบได้ทั่วไปในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องทดลองระบุว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญสำหรับการทุเลาลักษณะโรคปอดอุดกันเรื้อรังรวมทั้งบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างรวดเร็ว จึงมีการศึกษาประสิทธิภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่ม โดยให้ผู้เจ็บป่วยโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่กินน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอกติดต่อกันทุกเมื่อเชื่อวันเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลอีกทั้งในเลือดและเยี่ยวของผู้เจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กรุ๊ป จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยทั่วไปสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและก็ตรวจพบได้ในเลือดหรือปัสสาวะ แต่ว่าผลวิจัยกลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการย่อยสลายสารกลุ่มนี้โดยจุลชีวันในระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกรรมวิธีการดูดซึมสารอาหารที่แตกต่างก่อนที่จะอ้างถึงถึงคุณประโยชน์ด้านสุขภาพจากการรับประทาน เพราะเหตุว่าสารอาหารที่เจอในอาหารที่รับประทานอาจมิได้ถูกนำไปใช้คุณประโยชน์ในร่างกายคนเราทั้งหมด
โรคและก็อาการอื่นๆเป็นต้นว่า โรคเส้นโลหิตหัวใจ การหย่อนยานสมรรถภาพทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการบริหารร่างกาย กลุ่มอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังจำเป็นที่จะต้องทำการค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของทับทิมในการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (คร่าวๆ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มก.
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มก.
สังกะสี 0.35 มก.
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเป็นผลใกล้กันจากการดื่มน้ำทับทิมได้
ราก[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม[/url]มีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การกินรากและก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างปลอดภัยในการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจทำให้เกิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย ยกตัวอย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานหรือใช้ทับทิมในแบบอื่น ตัวอย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นต้องขอคำแนะนำหมอก่อนการรับประทานทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะความดันต่ำอาการแย่ลง
คนที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
คนเจ็บที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดกินทับทิมขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ เพราะเหตุว่าทับทิมส่งผลให้ความดันเลือดต่ำลง จึงบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมพร้อมกันกับยาบางจำพวกอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ตัวอย่างเช่น ยาที่เกี่ยวกับรูปแบบการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ประเภท P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดระดับความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติเตียนน ผู้ที่รับประทานยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะหารือแพทย์ก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย

 

Sitemap 1 2 3