ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 332 ครั้ง)

vbbddd02

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 12
    • ดูรายละเอียด

มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะลูบ (โคราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
วงศ์  Fabaceae
ถิ่นเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน จากนั้นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกในแถบอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียและก็ประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้จะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่สำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และก็เป็นที่รู้จักดีเลิศว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏเนื้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยบิดาขุนรามคำแหง ที่กล่าวถึงมะขามอยู่หลายที่ ดังเช่นว่า ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนไหนสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังกล่าวก็เลยอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายจำพวกเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  นอกจากนี้มะขามยังเป็นพันธุ์พืชพระราชทางและฯลฯไม้ประจำจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงทนทาน แล้วก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมากมายชนิดหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีแถลงการณ์ว่าพบมะขามที่แก่มากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ มั่นใจว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจจะเจ้าวัดวัดแค ว่า
“ทั้งยังพิชัยสงครามล้วนความรู้บางครั้งก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไปทั้งยังเสกใบมะขามได้เปรียบแตน”
มีชาวสุพรรณฯ มากไม่น้อยเลยทีเดียวเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในปัจจุบัน เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่สามเณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตนในครั้งนั้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 เซลเซียสม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 เซลเซียสมัธยม กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางโอกาสก็เว้าเข้าบางส่วน ฐานใบทั้งยัง 2 ข้างเว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดตกไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกไม้มี 5 กลีบ ขนาดแตกต่างกัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ริมกลีบดอกมีรอยย่นๆกลีบดอก 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเมล็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนเล็กน้อย ยาว 3-14 ซ.ม. กว้าง 2 ซ.ม. เปลือกนอกสีเทา ข้างในมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบวาว ออกดอกในช่วงพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถเพาะพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แต่ว่าเดี๋ยวนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายมากขึ้น จึงนิยมนำมาปลูกจากต้นชนิดที่ได้จากการตอน และก็การแทงยอดเป็นหลัก เพราะว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงแค่ไม่ถึงปีหลังการปลูก ทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยแนวทางแบบนี้จะมีลำต้นไม่สูงเหมือนการเพาะเม็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ และการเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง จัดแจงแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อจากนั้น ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 เซนติเมตร กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการทำหมัน หรือการเพาะเมล็ด ควรที่จะเลือกขนาดต้นจำพวกที่สูงโดยประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยหมักหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือเกิน 25-30 ซม. ก่อนนำต้นพันธุ์ลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้ชุ่ม ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ หลังจากการปลูกแล้วจะทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในระยะต้นเพื่อต้นตั้งตัวได้ โดยควรจะให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้น้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ทั้งนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยถ้าเป็นช่วงๆฤดูฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในช่วงนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อรีบผลิตผล ความถี่การใส่ปุ๋ยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกครั้งภายหลังจากการปลูกแล้วราวเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลได้
                นอกนั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น เป็นต้นว่า ประเทศในแถบอเมริกากึ่งกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งแอฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นเมืองไทยและก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับมะขามเยอะแยะ
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลพื้นฐานเมล็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งนิดหน่อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% ดังเช่นว่า โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์ดูองค์ประกอบหลักๆพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% แล้วก็ไฟเบอร์ 11.3% โดยที่เม็ดมะขามประกอบด้วยโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้า 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเม็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) และโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ สิสเทอีนแล้วก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้เท่ากับ 2.50%  นอกจากนี้เปลือกเมล็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จัดชนิดและประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นคะเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และก็ในใบมะขามเจอกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกเหนือจากนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีหัวหน้าไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามประเภทแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามประเภทอื่นๆมีเม็ดสีจำพวกแอนทอลแซนติน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามราวๆร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตินนิดหน่อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) แค่นั้น รวมทั้งในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มก.
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มก.
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มก. Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มก.


คุณประโยชน์/สรรพคุณ ประโยชน์ซึ่งมาจากมะขามอย่างแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากคือใช้บริโภคไม่ว่าจะกินใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับทำอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมาก ใช้ประกอบอาหารไทยที่ต้องการรสเปรี้ยว ดังเช่นว่า แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง รวมทั้งต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกจากนี้ยังคงใช้สำหรับการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายชนิด อย่างเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกเมืองนรก แล้วก็น้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็นำมาทำครัวได้ด้วยเหมือนกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าแปรรูปได้อีกหลากหลายประเภท เช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และก็เหล้าองุ่นมะขาม ผงมะขาม , สบู่ , แล้วก็แชมพูมะขาม เป็นต้น  ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกตัวอย่างเช่น เนื้อไม้มะขาม สำหรับคนไทยแล้วเขียงกว่าปริมาณร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เพราะมีคุณสมบัติสมควรกว่าไม้อื่นๆตัวอย่างเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร นอกเหนือจากนั้นยังหาง่ายอละแข็งแรงอีกด้วย เว้นแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา และดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะสลัก ถ้านำมาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เม็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นอาหารได้หลายประเภท ดังเช่นว่า คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง เอามาเพาะให้แตกออกก่อน (เสมือนถั่วงอก) แล้วก็ค่อยนำไปทำครัว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกเหนือจากนั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยระบุว่า ดอก ใบและฝักอ่อน ปรุงเป็นของกินกินแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการไม่อยากอาหารแล้วก็ของกินไม่ย่อยในฤดูร้อนลดความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้ของกินไม่ย่อยและก็ฉี่ทุกข์ยากลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ และมีประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคตับเหลือง ใบสด ใช้พอกบริเวณเข่าหรือข้อพับทั้งหลายที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดลับปวดเมื่อย, ฝี, ตาเจ็บ และแผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง รวมทั้งใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆใช้อาบข้างหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและก็แก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , รักษาแผล เนื้อหุ้มเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเนื่องมาจากกรดตาร์ตาริค แต่ถ้าหากเอาไปต้มจนถึงสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยสำหรับการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสลด  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากดื่มน้ำ ทำให้มีชีวิตชีวา ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย  และเป็นยาฆ่าเชื้อ และก็ให้กินในรายที่ท้องผูกเป็นประจำ แก้พิษสุรา อาหารไม่ย่อย อาเจียน ป่วยแล้วก็ท้องร่วง เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน ไม่อยากอาหาร แพ้ท้อง คลื่นไส้อ้วก ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้รับประทาน  แก้พิษเหล้า ขับเสมหะ ใช้เนื้อห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อหุ้มเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้หิวช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย กินเนื้อหุ้มเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดและข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้ท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนถึงเป็นเถ้าขาว กินทีละ 60-120 มิลลิกรัม และก็ยังใช้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากล้างคอ แก้คอเจ็บรวมทั้งปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มห่อเม็ดรับประทานครั้งละ 15 กรัม ช่วยย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาอาการท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 วิธี เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือกิน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือเล็กน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนกิน แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ใช้เปลือกเม็ดสีน้ำตาลปนแดงเป็นเงา 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการเปลี่ยนไปจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มเมล็ด กินทีละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเดินแล้วก็อาเจียนและก็ใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนนิ่ม แล้วรับประทานทีละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและก็การบูรเล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้และก็อาการอักเสบต่างๆได้แก่ ป่วย ของกินไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องร่วง และใช้แก้ลมแดดเจริญ ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม ตระเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการเบื่ออาหาร (ความสามารถของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานแล้วก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อหุ้มเมล็ดกับนม เนื้อหุ้มห่อเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาตำหนิสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากล้างคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอาหารอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นทั้งวัน มะขามแฉะแล้วก็ดินสอพองผสมจนถึงเข้ากัน เอามาพอกหน้าทิ้งไว้โดยประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับแจ่มใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นรวมทั้งนมสด ใช้พอกผิว ช่วยทำให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูสวยสดใส

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่กำหนดขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. แล้วก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน เวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. ได้ผลยับยั้งเชื้อดังกล่าวต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนแล้วก็สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. แล้วก็สารสกัดน้ำ ไม่กำหนดส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มิลลิลิตร ไม่เป็นผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ตัวอย่างเช่น  Bacillus subtilis, Escherichia coli และก็ Salmonella typhi แม้กระนั้นสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบกินพบว่าเปลือกเม็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรในการบริโภคในไก่ คือ 100 มก.ต่อกก. โดยที่สามารถลดความเคร่งเครียดจากความร้อน (heat stress) รวมทั้งลดสภาวะออกซิเดทีฟสเตรทได้ แม้กระนั้นการเล่าเรียนอีกฉบับกล่าวว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่รับประทานเมล็ดมะขามดังที่กล่าวมาข้างต้นพบผลเสียเป็น กินน้ำมากยิ่งขึ้นรวมทั้งมีขนาดของตับอ่อนรวมทั้งความยางของลำไส้เล็กมากขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาวิจัยเสนอแนะว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากโพลีแซคคาไรด์ที่ไม่สามารถที่จะย่อยได้
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้แล้วก็เพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมดังที่กล่าวถึงแล้วขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักลดลงตั้งแต่อาทิตย์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% และ 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักต่ำลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิภาวะหมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ แล้วก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 แล้วก็ 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะรุนแรงกว่าไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol รวมทั้ง total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศภรรยารวมทั้งเพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเม็ดมะขาม 4, 8 แล้วก็ 12% นาน 2 ปี ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางวิชาชีวเคมีในปัสสาวะและก็เลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ พอๆกับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF ทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน ตรงเวลา 90 วัน ไม่เจอความผิดแปลกใดๆก็ตามความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กิโลกรัม/วัน รวมทั้งในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กก./วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แม้กระนั้นสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงไปยังกระเพราะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารเข้าไปในกระเพาะของกินหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ กระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง

  • สำหรับการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยยิ่งไปกว่านั้นมะขามสุก)นั้นควรเลือกมะขามที่ไม่มีเชื้อรา เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากจนเกินไปอาจจะส่งผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อาทิเช่น ท้องเสีย ท้องเดิน
  • การบริโภคมะขามไม่ควรหวังผลสำหรับเพื่อการรักษา/สรรพคุณของมะขามมากจนเกินไปควรบริโภคแต่ว่าพอดิบพอดีและไม่ควรจะบริโภคต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • ยังมีส่งผลการค้นคว้าที่บ่งชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดน้ำหนักได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยไม่สมควรใช้มะขามมาลดความอ้วน
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเทพวิ

 

Sitemap 1 2 3