ผู้เขียน หัวข้อ: ทับทิมเป็นสมุนไพรผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงรักษา  (อ่าน 315 ครั้ง)

jacl598845

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 21
    • ดูรายละเอียด

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างมากมาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสำเร็จสดเยอะที่สุดและยังนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆตัวอย่างเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม ผลิตภัณฑ์ด้านความสวยงาม อีกทั้งยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแล้วก็สารพฤกษเคมีหลากหลายประเภทที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพร่างกาย จึงเชื่อว่าอาจมีประโยชน์สำหรับเพื่อการปกป้องโรคหรือบรรเทาอาการ ตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและเส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันเลือดสูง โรคในช่องปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และอื่นๆ
ในปัจจุบันยังมีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบต่างกันกับการดูแลรักษาโรคที่ออกจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถเจาะจงสมรรถนะของทับทิมต่อการรักษาโรคได้แน่ชัด ซึ่งตัวอย่างการศึกษาเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว เป็นต้นว่า สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต้านทานอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของเส้นเลือด จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการศึกษาฤทธิ์การต่อต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดแกลลิค 610 มิลลิกรัม) รวมทั้งประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับในการต้านทานสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดสอบ พบว่าค่าดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นลดน้อยลง ก็เลยคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกนั้น ยังมีการค้นคว้าอีกชิ้นให้ผู้เจ็บป่วยโรคหลอดเลือดแดงแข็งจำนวน 15 คน ทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปและ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่มิได้กินอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ต่ำลงราว 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น จึงชี้ให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ดังนี้ ยังคงจะต้องมีการเรียนรู้เพิ่มเติมในระยะยาวกับกลุ่มการทดลองขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ทำให้ยังไม่อาจจะสรุปผลของทับทิมแล้วก็การรักษาโรคเส้นเลือดแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมเป็นผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกประยุกต์ใช้เป็นตัวเลือกสำหรับการรักษาโรคเหงือก เนื่องมาจากการรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีสมรรถนะเพียงพอสำหรับในการทุเลาอาการจากโรคมากเท่าที่ควรรวมทั้งลดการเสี่ยงด้านของสุขภาพจากการรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดลองทางคลินิกกับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองสมรรถนะของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 224 ชั่วโมง โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลและรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการด้านใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยอาจนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบพร้อมกันกับการรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่ศึกษาสมรรถนะของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกรูปแบบเจลสำหรับเพื่อการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพโพรงปากดียิ่งขึ้นรวมทั้งปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดน้อยลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจใช้ประโยชน์เป็นส่วนประกอบในสินค้าสำหรับบำรุงรักษาโพรงปาก เป็นต้นว่า ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองป้องกันและก็ทุเลาลักษณะของโรคเหงือกอักเสบ
ปกป้องการเกิดรอยเปื้อนจุลชีวัน สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการลดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ตามผิวฟัน และก็อาจนำไปสู่โรคทางโพรงปากอีกหลากหลายประเภท ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ธรรมดา แต่ว่าสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) และก็ยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลชีวันลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่ต่างอะไรจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน ก็เลยพอจะพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจลดจังหวะสำหรับเพื่อการกำเนิดคราบจุลอินทรีย์ด้านในช่องปาก
ขณะเดียวกัน การศึกษาอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมน่าจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ ซึ่งสำหรับการทดสอบได้เก็บคราบจุลชีพจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงและกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบผลก่อนแล้วก็ข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดไม่เหมือนกันในแต่ละกรุ๊ป ตัวอย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน แล้วก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับในการลดคราบจุลชีวันลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% แล้วก็ยาหลอกที่น้อยลงเพียง 11% ก็เลยอาจพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เป็นตัวเลือกสำหรับการใช้ขจัดคราบจุลชีพบนผิวฟัน ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงต้องมีการตำหนิดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมโดยตลอด เพราะเหตุว่าช่วงเวลาสำหรับการทดสอบค่อนข้างจะสั้น
สภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่พูดกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนผลการกินน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนเจ็บเบาหวานจำพวกที่ 2 และมีสภาวะไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่กินอาหารภายใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมถึงของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าผู้เจ็บป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันชนิดไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี รวมทั้งอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดต่ำลง แต่ไม่พบความเคลื่อนไหวของระดับไตรกลีเซอไรด์แล้วก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้เจ็บป่วยเบาหวานลง แม้กระนั้นยังบอกมิได้กระจ่างแจ้ง เนื่องจากของกินชนิดอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน และก็กลุ่มการทดลองมีขนาดเล็ก จำเป็นที่จะต้องขยายผลการศึกษาในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มอีก นอกเหนือจากนั้น การดูแลรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรมีการควบคุมอาหารแล้วก็การบริหารร่างกายไปพร้อม ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด โดยยิ่งไปกว่านั้นสารโพลีฟีนอลที่พบบ่อยในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องทดลองบอกว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการทุเลาลักษณะโรคปอดอุดกันเรื้อรังแล้วก็บางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างรวดเร็ว จึงมีการเรียนรู้ประสิทธิภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้ผู้เจ็บป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอกติดต่อกันทุกวี่ทุกวันเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลทั้งในเลือดแล้วก็ฉี่ของผู้ป่วย ทั้งยังยังไม่เจอความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 2 กรุ๊ป ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกันเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและตรวจพบได้ในเลือดหรือฉี่ แม้กระนั้นผลการศึกษาเรียนรู้กลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจมีต้นเหตุจากการย่อยสลายสารพวกนี้โดยจุลชีพในระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกรรมวิธีการดูดซับสารอาหารที่ไม่เหมือนกันก่อนที่จะอ้างถึงถึงผลดีด้านสุขภาพจากการกิน ด้วยเหตุว่าสารอาหารที่พบในของกินที่รับประทานบางทีอาจมิได้ถูกเอาไปใช้ประโยชน์ภายในร่างกายคนเราทั้งสิ้น
โรคแล้วก็อาการอื่นๆได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการออกกำลังกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การต่อว่าดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และก็อื่นๆยังจำเป็นต้องศึกษาวิจัยวิจัยเพิ่มเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของทับทิมในการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มก.
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มก.
โพแทสเซียม 236 มก.
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มิลลิกรัม
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยธรรมดาการรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ว่าในบางรายที่มีลักษณะแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลใกล้กันจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การกินรากและลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจทำให้กำเนิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย ดังเช่นว่า อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในตอนให้นมบุตร แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับในการกินหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น เป็นต้นว่า สารสกัดจากทับทิม จึงควรขอความเห็นแพทย์ก่อนจะมีการรับประทานทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจจะส่งผลให้ความดันเลือดลดต่ำลงบางส่วน ซึ่งอาจจะก่อให้คนไข้ที่มีภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ
คนที่มีลักษณะแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
คนป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดกินทับทิมอย่างต่ำ 2 อาทิตย์ เนื่องด้วยทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันเลือดต่ำลง จึงบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางชนิดอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ดังเช่นว่า ยาที่เกี่ยวโยงกับรูปแบบการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตติน คนที่กินยาบ่อยๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอคำแนะนำแพทย์ก่อนการรับประทานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

 

Sitemap 1 2 3