ผู้เขียน หัวข้อ: ทับทิมเป็นสมุนไพรผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงรักษา  (อ่าน 5516 ครั้ง)

01adxz45

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด

ทับทิม
ทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างแพร่หลาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสดสูงที่สุดแล้วก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอย่างเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวย ทั้งยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งสารพฤกษเคมีหลายแบบที่มีสาระต่อสภาพทางร่างกาย ก็เลยเชื่อว่าบางทีอาจมีประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันโรคหรือบรรเทาอาการ อาทิเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและก็เส้นโลหิต คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันเลือดสูง โรคในช่องปากและโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง แล้วก็อื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาวิจัยที่เรียนรู้การใช้ทับทิมในต้นแบบแตกต่างกันกับการดูแลและรักษาโรคที่ออกจะจำกัด ทำให้ยังไม่อาจจะระบุคุณภาพของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้กระจ่างแจ้ง ซึ่งแบบอย่างการศึกษาเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ดังเช่นว่า สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต้านทานอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ รวมทั้งลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ก็เลยอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง
จากการศึกษาฤทธิ์การต้านทานสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดเอ็งลลิค 610 มก.) รวมทั้งวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์ในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วต่ำลง จึงคาดว่าการกินทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและก็เส้นเลือด
ยิ่งกว่านั้น ยังมีการค้นคว้าวิจัยอีกชิ้นให้ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดแดงแข็งปริมาณ 15 คน รับประทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปและก็ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่มิได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กรุ๊ปที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่ลดลงราว 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น ก็เลยชี้ให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงควรจะมีการเรียนรู้เสริมเติมในระยะยาวกับกลุ่มการทดลองขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลของทับทิมแล้วก็การรักษาโรคเส้นโลหิตแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกประเภทที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกสำหรับในการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากว่าการดูแลและรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีคุณภาพพอเพียงในการทุเลาอาการจากโรคมากมายซักเท่าไหร่และก็ลดการเสี่ยงด้านของสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางสถานพยาบาลกับคนไข้โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง ปริมาณ 40 คน เพื่อมองความสามารถของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการดูแลและรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกระบวนการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะอาการดียิ่งขึ้นข้างใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือในการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยอาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่เล่าเรียนความสามารถของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกแบบเจลสำหรับในการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากรวมทั้งปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดน้อยลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การศึกษาเรียนรู้ในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงโพรงปาก ตัวอย่างเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยป้องกันรวมทั้งบรรเทาลักษณะโรคเหงือกอักเสบ
คุ้มครองป้องกันการเกิดคราบจุลชีพ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพในการลดคราบจุลชีวันตามผิวฟัน แล้วก็อาจทำให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลายประเภท ซึ่งจากการทดสอบให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แม้กระนั้นสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) และยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดรอยเปื้อนจุลินทรีย์ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ายาหลอก แม้กระนั้นมีคุณภาพไม่มีความแตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน จึงเพียงพอจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดจังหวะสำหรับการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ข้างในช่องปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การเรียนรู้อีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดการเกิดรอยเปื้อนจุลชีวัน ซึ่งสำหรับการทดสอบได้เก็บรอยเปื้อนจุลอินทรีย์จากโพรงปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีและก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี จำนวน 60 คน ข้างหลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทต่างกันในแต่ละกลุ่ม เช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน แล้วก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการลดรอยเปื้อนจุลชีวันลงมากที่สุดราวๆ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน 79% และก็ยาหลอกที่ต่ำลงเพียง 11% ก็เลยอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแล้วก็เป็นตัวเลือกสำหรับการใช้กำจัดคราบจุลอินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงจะต้องมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างสม่ำเสมอ เพราะเหตุว่าระยะเวลาสำหรับเพื่อการทดสอบออกจะสั้น
สภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาผลของการกินน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนเจ็บเบาหวานชนิดที่ 2 รวมทั้งมีสภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่ทานอาหารข้างใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าผู้เจ็บป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันจำพวกไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดน้อยลง แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์และระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้ป่วยโรคเบาหวานลง แต่ว่ายังบอกมิได้ชัดเจน เนื่องด้วยอาหารจำพวกอื่นที่กินอาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดไขมันในเลือดได้ด้วยเหมือนกัน และกรุ๊ปการทดลองมีขนาดเล็ก จำเป็นที่จะต้องขยายผลการเรียนในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มอีก นอกนั้น การรักษาภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรมีการควบคุมของกินแล้วก็การออกกำลังกายไปพร้อมกัน ซึ่งบางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากยิ่งขึ้น
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่มักพบในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องแลปบอกว่าสารพวกนี้มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการโรคปอดอุดกันเรื้อรังรวมทั้งบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างรวดเร็ว ก็เลยมีการเรียนคุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่ม โดยให้คนเจ็บโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มิลลิลิตร (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่รับประทานยาหลอกต่อเนื่องกันทุกวี่ทุกวันเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลในเลือดแล้วก็เยี่ยวของคนป่วย ทั้งยังยังไม่เจอความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 2 กรุ๊ป ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกันเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและตรวจพบได้ในเลือดหรือเยี่ยว แต่ว่าผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยกลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีต้นเหตุจากการย่อยสลายสารกลุ่มนี้โดยจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร จึงควรทำความเข้าใจวิธีการดูดซับสารอาหารที่ไม่เหมือนกันก่อนที่จะอ้างถึงผลดีด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการกิน เพราะสารอาหารที่พบในของกินที่กินบางทีอาจไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายคนเราทั้งหมด
โรครวมทั้งอาการอื่นๆเป็นต้นว่า โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเสีย โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังจะต้องศึกษาค้นคว้าวิจัยเสริมเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับสมรรถนะรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มก.
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มก.
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มิลลิกรัม
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยในการกินทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยธรรมดาการรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัย แม้กระนั้นในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลข้างเคียงจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การกินรากรวมทั้งลำต้นของทับทิมในปริมาณมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะไม่เป็นอันตรายในการรับประทานหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้น้อยในบางราย อย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์หรืออยู่ในตอนให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือใช้ทับทิมในรูปแบบอื่น อย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นจะต้องขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะทำให้ความดันโลหิตลดลดน้อยลงบางส่วน ซึ่งอาจจะส่งผลให้คนเจ็บที่มีสภาวะความดันต่ำอาการกำเริบ
ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
คนป่วยที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดกินทับทิมอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ เนื่องด้วยทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังข้างหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมพร้อมกันกับยาบางประเภทอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ยกตัวอย่างเช่น ยาที่เกี่ยวพันกับลักษณะการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดระดับความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตว่ากล่าวน คนที่กินยาบ่อยๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย

 

Sitemap 1 2 3