ผู้เขียน หัวข้อ: กระเทียมนั้นมีสรรพคุณ-เเละประโยชน์ดีนักหนาอย่างไร  (อ่าน 324 ครั้ง)

dpdsio2s4a5

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด

กระเทียม
ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี:
           จำนวนน้ำไม่เกิน 68% w/w  ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  จำนวนเถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% รวมทั้งปริมาณสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ และก็น้ำ ราวๆ 0.52, 0.50 และก็ 15% w/w  ตามลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษระบุปริมาณสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
สรรพคุณ:
           ตำราเรียนยาไทยใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุทุพพลภาพ  ของกินไม่ย่อย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดพิการ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจายเลือด  ขับเยี่ยว แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง น้ำตาไหล  ตาฝ้า รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษามะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดรักษาโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นรำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้โรคหืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับเลือดรอบเดือน  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสลด ทำให้ผมเงาสวย  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ข้างนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษากลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาภายนอกทุเลาลักษณะของการปวดบวมตามข้อเพราะเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องเสีย), ยาประสะไพล (ขับน้ำคร่ำ ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องเสีย ใช้กระเทียม 3 กลีบ ตีชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ทุเลาอาการปวดตามเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์รักษาระดูมาไม่บ่อยนักหรือมาน้อยกว่าปกติ ทุเลาอาการปวดรอบเดือน  และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
แบบแล้วก็ขนาดวิธีการใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มิลลิกรัมต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มก.ต่อวัน หรือแบบอย่างยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มก.
ขนาดและการใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ซอกซอยละเอียด  รับประทานหลังรับประทานอาหาร หรือพร้อมอาหาร
ขนาดและวิธีใช้สำหรับรักษากลากเกลื้อน:
                   ฝานกระเทียมถูเสมอๆบริเวณที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะทายาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดรอบๆที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อตัวยาซึมลงไปเจริญขึ้น เมื่อหายแล้วให้ป้ายยาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดแล้วก็วิธีการใช้สำหรับแก้ไอ:
                   หนังสือเรียนยาไทยให้ใช้กระเทียม และขิงสดอย่างละเสมอกันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสมหะ ทำให้เสลดแห้ง หนังสือเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือใช้จิดหรือปัดกวาดคอ
ส่วนประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย ราว 0.1-0.4% มีส่วนประกอบหลักเป็น allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกลุ่มกรุ๊ป organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่เจอในกระเทียมเช่น  สารกรุ๊ป S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% แล้วก็ cycloalliin 0.1% รวมทั้งสารที่ไม่ระเหยเป็น สารกลุ่ม gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% และ gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมราว 82% ของสารกรุ๊ป organosulpur ทั้งหมดทั้งปวง ส่วนสารกลุ่ม thiosulfinates (allicin) สารกรุ๊ป ajoenes (E-ajoene รวมทั้ง Z-ajoene) สารกรุ๊ป vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) และสารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่มิได้พบในธรรมชาติแต่ว่ามีต้นเหตุจากการเสื่อมสลายของสาร allin ซึ่งถูกย่อยสลายด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alliinase ต่อไปก็เลยเกิดการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร ย่อยสลายได้สารกลุ่ม sulfides อื่นๆดังนั้นกระเทียมที่ผ่านวิธีการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบโดยมากที่พบเป็นสารกรุ๊ป diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide รวมทั้ง diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านกระบวนการหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบส่วนมากเป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene และก็ Z-ajoene ปริมาณของ alliin ที่เจอในกระเทียมสด โดยประมาณ 0.25-1.15% สารกลุ่มอื่นๆที่พบ เช่น สารเมือก และ albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids รวมทั้ง flavonoids
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์ป้องกันตับจากสารพิษ
      การทดสอบป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 แล้วก็ 100 มิลลิกรัม/กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกลุ่ม นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ก่อนรั้งนำให้ตับเกิดการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถคุ้มครองตับเป็นพิษได้ การตรวจทานลักษณะทางจุลกายส่วนศาสตร์พบว่าสามารถยั้งความย่ำแย่ของเซลล์ตับ โดยลดการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี aspartate transaminase (AST) รวมทั้ง alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบ และการเสียชีวิตของเซลล์ตับ เช่น Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน และเอนไซม์ที่เกี่ยวพันในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้นว่า catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการเรียนแสดงให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องตับจากสารพิษ โดยกลไกกระตุ้นรูปแบบการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ทำหน้าที่คุ้มครองเซลล์ และก็เยื่อจากอนุมูลออกสิเจนที่ว่องต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 ส่งผลเหนี่ยวนำการสร้างเอนไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระ และสร้างเอนไซม์ในระบบการกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) และก็ยั้ง nuclear factor-kappa B ส่งผลให้ลดการสร้างสารที่เกี่ยวเนื่องกับการอักเสบลง และปกป้องรักษาตับจากสารพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ
      ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) และสารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว เอามาทดสอบในหลอดทดลอง โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase (ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการสร้างสารอักเสบ) แบบ non-competitive รวมทั้ง irreversible จากการเล่าเรียนพบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด รวมทั้งเส้นโลหิตแดงในกระต่ายพอๆกับ 0.35, 1.10 รวมทั้ง 0.90 mg ในเวลาที่กระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยับยั้ง cyclooxygenase ได้น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะองค์ประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายตอนที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาเรียนรู้แสดงให้เห็นว่ากระเทียมคงจะมีคุณประโยชน์ในการป้องกันโรคเส้นโลหิตอุดตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัย ที่ศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังนี้คือ ต่อต้านการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis ส่งผลให้การมารวมกรุ๊ปกันของสารที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบน้อยลง, ยั้ง transendothelial migration of neutrophils ส่งผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวจำพวก neutrophil ในแนวทางการอักเสบลง, ยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มในกรรมวิธีอักเสบ, กดการผลิตอนุมูลไนโตรเจนที่รวดเร็วต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ รวมทั้งการทำงานผ่าน ERK1/2 อีกทั้ง 2 กลไก อาทิเช่น การขัดขวาง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) แล้วก็การเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) ส่งผลทำให้การอักเสบลดลง (Martins, et al, 2016)

ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
      การทดสอบความสามารถสำหรับเพื่อการต่อต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และก็การสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น โดยใช้วิธี microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC รวมทั้งค่า MBC ต่ำที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) รวมทั้งรองลงมาเป็น สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล รวมทั้งอะซิโตน ให้ค่า MIC และก็ MBC เท่ากัน (6.25กรัมต่อลิตร) แปลว่าสารสกัดสดมีโภคทรัพย์ในการยั้ง แล้วก็ทำลายเชื้อแบคทีเรียดีที่สุด เนื่องมาจากในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่อกระเทียมสดถูกบด หรือผ่านขั้นตอนดัดแปลง allinase จะถูกปล่อยออกมาจากภายใน vacuole ของเซลล์ แล้วก็อาศัยน้ำเป็นกลไกสำหรับเพื่อการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความรู้ความเข้าใจสำหรับในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งขั้นตอนการสกัดสดช่วยทำให้แนวทางการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin และก็ allinase ดีขึ้น ด้วยเหตุว่าจะต้องใช้เวลาสำหรับในการบีบคาดคั้นน้ำกระเทียมซึ่งช่วงเวลาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วช่วยให้การทำปฏิกิริยาระหว่างสารมากเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ได้ allicin เพิ่มขึ้น (ภรภัทร และรังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล ตรงเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิห้อง นำมาทดลองการต่อต้านการเกิดปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันของไลโปโปรตีนจำพวกความหนาแน่นต่ำ หรือต้านทานการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดสอบในสภาวะที่มีหรือไม่มี AGE โดยใช้ CuSO4 และก็ 5-lipoxygenase รั้งนำให้เกิด oxidized LDL รวมทั้งทดลองสารสกัดของ AGE ผลการทดลองพบว่า AGE มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระโดยลดการผลิต superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกสิเจน) และลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยับยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ให้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ และก็ 5-lipoxygenase ได้ 81% รวมทั้ง 37% ตามลำดับ สรุปได้ว่า AGE ส่งผลยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการผลิต superoxide และก็ยั้งการเกิด lipid peroxide  ฉะนั้น AGE ก็เลยอาจมีหน้าที่สำหรับเพื่อการป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การเรียนรู้ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  และการสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น ทดลองโดยกรรมวิธียั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกสิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลของการทดสอบฤทธิ์ยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 น้อยที่สุด เท่ากับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา ได้แก่ สารสกัดเมทานอล เอทานอล และการสกัดสด เป็นลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 แล้วก็ 55.36±3.96 mg/ml เป็นลำดับ  ผลการต้านทานสารออกซิไดซ์ที่ร้ายแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีสมบัติการต้านออกสิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/

 

Sitemap 1 2 3