ผู้เขียน หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 214 ครั้ง)

Posthizzt555

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2599
    • ดูรายละเอียด

โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้เกิดผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กตัวเล็กๆ แต่ก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
         โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่ชี้แจงอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้รวมทั้งผื่น นอกเหนือจากนั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกหัด อย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานทีแรกโดยแพทย์และก็นักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed รวมทั้งใน คริสต์ศักราช1954 Panum รวมทั้งภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์แล้วก็ให้ผลสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราวๆ 2 อาทิตย์ แล้วก็ข้างหลังติดเชื้อโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิคุ้มกันทั้งชีวิต
โรคหัดนับว่าเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากมายโรคหนึ่ง เพราะว่าอาจส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แต่ว่าในปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนคุ้มครองที่มีคุณภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองโรคหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่เจอเกิดได้ตลอดทั้งปี แม้กระนั้นมีอุบัติการณ์สูงในช่วงม.ค.ถึงเดือน แล้วก็จังหวะในการกำเนิดโรคในผู้หญิงแล้วก็เพศชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคฝึกหัดจากทั่วทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนไข้โรคหัดรวมทั้งสิ้น 5,207 คน และ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นช่วงๆอายุที่เจอคนป่วยโรคนี้มากที่สุด คิดเป็นจำนวนร้อยละ 37.03 รวมทั้ง 25.85 ของแต่ละปี
ที่มาของโรคฝึก โรคหัดเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อล้อมรอบโดย envelope เป็น glycol-protien ที่ประกอบด้วยโปรตีนสำคัญ 3 จำพวก เช่น H protein ทำหน้าที่ให้ฝาผนังไวรัสติดตามกับผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความสำคัญสำหรับเพื่อการแพร่เชื้อไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความสำคัญเกี่ยวข้องกัน viral maturation ด้วยเหตุว่าเป็นไวรัสที่มี envelope ห่อหุ้มจึงถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦เซลเซียส) แสงสว่าง สถานการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันดังเช่นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศและบนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงระยะเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนแค่นั้น
อาการโรคฝึกฝน  คนป่วยจะเริ่มเป็นไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก แล้วก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจพบตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่อข้าวและท้องเดินร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและก็พบ Koplik spots เป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวคละเคล้าเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ จำนวนมากเจอบริเวณกระพุ้งแก้มตรงกันข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบมาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้หมายถึงไข้จะเบาๆสูงขึ้นกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้ารวมทั้งไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณตอนล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงจำนวนร้อยละ 25-50 แล้วก็บางทีอาจชมรมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้ารวมทั้งเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งสำเร็จจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆส่วนมากมักพินิจไม่พบเนื่องจากว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่เป็นไข้แบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกถัดมาอุณหภูมิกลับเป็นปกติไม่มีไข้ราว 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มเป็นไข้สูงอีกทีแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะดำรงอยู่อีกราว 2-3 ครั้งหน้าจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ควรจะตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบได้ทั่วไปมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด พบได้ปริมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยโรคหัด พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็คนแก่ที่อายุมากกว่า 20 ปี กำเนิดได้หลายระบบของร่างกาย มูลเหตุจำนวนมากเกิดจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและผลของการกดภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้

  • หูศูนย์กลางอักเสบ (otitis media) พบประมาณจำนวนร้อยละ 10
  • ปอดอักเสบ (pneumonia) ซึ่งกำเนิดได้ 2 ระยะ ระยะแรกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในระยะหลัง ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จะเป็น bronchopneumonia
  • อุจจาระหล่น (diarrhea) มักกำเนิดในช่วงแรกที่เป็นไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
  • สมองอักเสบ (encephalitis) พบได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งเกิดในช่วง 2-5 วัน ภายหลังผื่นออก มีลักษณะอาการไข้ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ซึม ซึ่งถ้าเกิดกรวดน้ำไขสันหลัง จะเจอเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
  • Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) พบได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดภายหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยๆเป็น ค่อยๆไป มีความประพฤติผิดไป เชาวน์เสื่อมลง มีลักษณะอาการชัก อาการทางประสาทจะสารเลวลงบ่อยถึงโคมา และก็มรณกรรมท้ายที่สุด หากกรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG เจอ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
วิธีการรักษาโรคฝึก
การวิเคราะห์ โรคหัดใช้การวินิจฉัยจากวิธีสำหรับซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ  Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นข้อสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ ในเรื่องที่อาการแล้วก็อาการแสดงคลุมเครือบางทีอาจพิจารณาส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการดังนี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย

  • การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของแดนตำหนิบอดีต่อไวรัสฝึกฝน วิธีที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เนื่องจากว่าทำง่าย ราคาถูก มีความไวและก็ความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีประเภท IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาแดนติเตียนบอดีประเภท IgG 2 ครั้งใน acute แล้วก็ convalescent phase serum ห่างกัน 2 อาทิตย์ เพื่อมองการเพิ่มขึ้นของระดับดินแดนตำหนิบอดี  (fourfold rising of  antibody)  เพื่อยืนยันการวิเคราะห์ โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจพบภายหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดราวๆ 14 ครั้งหน้าผื่นและจะหายไปใน 1 เดือน ระยะเวลาที่แนะนำให้ตรวจคือ 7 ครั้งหน้าผื่นขึ้น ซึ่งมีแนวทางดังต่อไปนี้


แนวทาง ELISA IgM ใช้แบบอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวตอน 4-30 ครั้งหน้าพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนถึงเลือดแข็ง ดูดเฉพาะ Serum (หามีเครื่องมือพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป

  • การตรวจสารพันธุบาปของเชื้อไวรัสหัด โดยแนวทาง polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้


ปิดฉลาก ชื่อ-ชื่อสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ แนวทาง PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายข้างในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป
                การดูแลรักษา เพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส ฝึกหัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จำเป็นจะต้องให้การรักษาตามอาการ เป็นต้นว่า เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชื้นรวมทั้งออกซิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย ยกตัวอย่างเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพินิจรักษาด้วยยาต้านทานจุลินทรีย์ที่สมควรเป็นต้น
                นอกเหนือจากนั้นพบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายรวมทั้งความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้แล้วก็ยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคฝึกได้อีกด้วย โดยเหตุนั้นแพทย์จึงมักตรึกตรองจะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

  • ผู้เจ็บป่วยอาการรุนแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศล้าหลัง หรือในบริเวณที่อนาถาของประเทศที่กำลังปรับปรุง
  • คนป่วยเด็กอายุ 6-24 เดือน และก็จะต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคฝึกหัดที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • คนไข้ที่มีสภาวะภูมิคุ้มกันขัดขวางโรคผิดพลาด
  • คนป่วยขาดสารอาหาร
  • คนไข้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
  • ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องไส้ดูดซึมไม่ดี (ก็เลยมักขาดวิตามิน เอ)
  • คนเจ็บที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคฝึกหัดสูง

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคฝึก

  • เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มิได้รับการฉีดซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคฝึกฝนได้
  • สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนคนเยอะจำนวนไม่ใช่น้อยมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคฝึกฝน อย่างเช่น โรงเรียน สถานที่รับเลี้ยงเด็กเป็นต้น
  • ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินเอ มักจะมีการเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากกว่าคนปกติ
  • ผู้ที่มีสภาวะความไม่ดีเหมือนปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • คนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)


การติดต่อของโรคฝึกฝน โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่ไปสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและเสลดของคนไข้ ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่กลางอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่จำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกข้างหลังของผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่กับมือของผู้เจ็บป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอาทิเช่น ถ้วยน้ำ จาน ถ้วยชาม ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าขนหนู หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือคนป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่มัวหมองเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยตอนที่เริ่มมีอาการไอแล้วก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมาเยอะที่สุด ซึ่งภายในช่วงระยะเวลา 7-14 ครั้งหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายนำไปสู่อาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และผื่นในคนไข้รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนปกป้องโรคฝึกหัดได้โอกาสมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกฝนแม้อยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคหัด

  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆขั้นต่ำวันละ 6-8 แก้ว โดยบางทีอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อปกป้องการขาดน้ำ
  • พักผ่อนให้มากมายๆไม่ทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากจนเกินไป
  • ของกินที่กินควรจะเป็นอาหารอ่อนๆตัวอย่างเช่น ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆเช่น ชาร้อน น้ำขิง
  • พากเพียรรับประทานอาหารให้ได้ตามธรรมดา โดยควรเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญคือผู้ป่วยไม่มีความจำเป็นต้องงดเว้นของแสลง เพราะโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรจะย้ำการทานอาหารชนิดโปรตีนให้มากมายๆได้แก่ เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมถึงอาหารที่มีวิตามินเอ มากๆยกตัวอย่างเช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับวัว ฟักทอง อื่นๆอีกมากมาย
  • อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น รวมทั้งควรสวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลาเป็นไข้สูง
  • งดการสูบบุหรี่ หลบหลีกควันบุหรี่ รวมทั้งงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • หลบหลีกการไปในที่สาน้ำณที่มีคนคับคั่ง
  • รับประทานยารวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัว
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
การปกป้องตนเองจากโรคฝึก

  • ในตอนที่มีการระบาดของโรคหัด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัดคับแคบ แต่แม้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรจะใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสลดของผู้ป่วย รวมทั้งอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าหากยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับคนเจ็บ และควรเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้เจ็บป่วยโดยตรง แม้ไม่ได้สวมถุงมือคุ้มครองป้องกัน
  • อย่าใกล้หรือนอนรวมกับคนเจ็บ แม้กระนั้นจำเป็นที่จะต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะสวมหน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เป็นประจำภายหลังสัมผัสกับผู้เจ็บป่วยหรือข้าวของของผู้เจ็บป่วย


แต่ทั้งนี้ แนวทางที่เยี่ยมที่สุดที่จะป้องกันโรคฝึกหัดได้เป็นฉีดยาป้องกัน ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองป้องกันได้สามโรคเป็นโรคฝึกฝน โรคคางทูม แล้วก็โรคเหือด เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกหัด และก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จนถึงมีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 ทั้งยังวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้ง 2 ชนิดได้เพียง 4 ปี วัคซีนปกป้องโรคฝึกฝนประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเหตุเพราะพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุผลดังกล่าวในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายชนิด Edmonston ชนิด B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แม้กระนั้นเจอปัญหาข้างเคียงที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston ชนิดอื่นๆด้วยขั้นตอนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการจดทะเบียนวัคซีนรวมประเภท trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างล้นหลามจนถึงปัจจุบันสำหรับประเทศไทยเริ่มมีการใส่วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดเช้าตรู่ไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติทีแรกในปี พุทธศักราช2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็ในปี พ.ศ. 2539 จึงเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมเรียนรู้ปีที่ 1 จนกระทั่งปี พุทธศักราช2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกฝนหรือวัคซีนรวมคุ้มครองโรคฝึก-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนและก็เปลี่ยนแปลงวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน (MMR) เช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองปกป้อง/รักษา/ทุเลาลักษณะของโรคฝึกหัด ตามตำรายาไทยนั้นบอกว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะโรคฝึกหัดมีดังนี้

  • สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มจนเหลือน้ำ 5 ลิตร ยกลงทิ้งไว้คอยให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง ตราบจนกระทั่งจะหาย แล้วก็ต้องระวังอย่าอาบช่วงที่เม็ดฝึกหัดผุดขึ้นมาใหม่ๆแต่ให้อาบในตอนที่เม็ดฝึกหัดออกเต็มที่แล้ว
  • ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้ฝึกหัดหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น และก็ต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารตอนเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
  • ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นเอามาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึกฝน


 ยิ่งกว่านั้นในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังเจาะจงไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษารวมทั้งบาเทาอาการของโรคหัดได้ โดยในโบราณกาล จริงๆแล้วการใช้ยาเขียวในโรคไข้เกิดผื่นในแผนไทย มิได้มีเป้าประสงค์สำหรับเพื่อการยั้งเชื้อไวรัส แต่ว่าอยากได้กระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน คือไม่เกิดผื่นด้านใน ดังนั้นก็เลยมีผู้คนจำนวนมากที่รับประทานยาเขียวแล้วจะมีความคิดว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม หมอแผนไทยก็เลยชี้แนะให้ใช้แนวทางรับประทานรวมทั้งทา โดยการกินจะช่วยกระแทกพิษข้างในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าเกิดจะเปรียบเทียบกับแนวทางหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปถึงที่กะไว้ยาเขียวอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต่อต้านขบวนการออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ไม่สบายเป็นผื่น อย่างเช่น ฝึกฝน อีสุกอีใส เพื่อกระแทกให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นมากขึ้น และหายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นส่วนประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางประเภทมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายคือการที่เลือดมีพิษรวมทั้งความร้อนสูงมากมายกระทั่งต้องระบายทางผิวหนัง ได้ผลสำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ได้แก่ที่พบในไข้เป็นผื่น หัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
  • ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
  • รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
  • ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
  • Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
  • Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
  • Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
  • Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
  • Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
  • แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
  • Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
  • Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
  • Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
  • American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
  • Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
  • Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
  • Krugman S. Further-attenuated measles vaccine: Characteristics and use. Rev Infectious Dis. 1983;5:477-81.
  • Bellini WJ, Helfand RF. Th

 

Sitemap 1 2 3